รู้ตัวอีกที...เธอก็เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่ 3 จนสุดท้ายต้องตัดกระเพาะอาหารทิ้ง

เรื่องราวของเธอเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์กันมาก หลังจากแชร์ประสบการณ์การป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่ 3 จนต้องตัดกระเพาะอาหารทิ้งทั้งลูก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณหรืออาการร้ายแรงใดๆ เตือนเลย

และแม้เรื่องราวจะรุนแรง แต่พลังบวกของ ภัทราภรณ์ สุริยะมณี หรือมะนาว อายุ 36 ปี ที่ส่งผ่านมาระหว่างที่พูดคุยกัน ทำให้เรามั่นใจว่าเธอจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างแน่นอน

กินข้าวไม่เป็นเวลา คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ออฟฟิศ
เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว เธอพบว่าป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ แต่ก็ไม่ได้เครียดอะไร เพราะมีอาการแบบเป็นๆ หายๆ นานๆ จะมีอาการสักครั้ง 
“กระทั่งปีที่แล้วเครียดมาก บวกกับงานที่เป็นรูทีน ทั้งยังกินอาหารไม่ตรงเวลา มื้อเช้าเกือบสิบโมง มื้อเย็นเกือบสามทุ่ม มีมื้อเที่ยงมื้อเดียวที่กินตรงเวลา ซึ่งจะมีขนมและของว่างที่ซื้อไว้กินตอนหิว เนื่องจากวันธรรมดาเราทำงานหนัก พอถึงวันหยุดเราก็ตื่นสาย กว่าจะได้กินมื้อแรกของวันก็ราวๆ บ่าย 2-3 ทำให้ช่วงปีที่ผ่านมา ปวดท้องทุกอาทิตย์ แต่ก็มียาที่กินประจำคือกินแล้วอาการก็จะหายไป” 



ยิ่งเครียดยิ่งปวดท้อง แต่ชะล่าใจเพราะกินยาลดกรดแล้วหมดอาการ
เธอเล่าถึงอาการตอนนั้นว่า “ปวดแสบปวดร้อนตรงกลางกระเพาะ รู้สึกเหมือนมีกรดเยอะ ก็กินยาเพื่อให้เรอออกมาจะได้รู้สึกโล่ง พอช่วง 5-6 เดือนก่อนไปตรวจส่องกล้อง เริ่มมีอาการปวดแสบขึ้นลิ้นปี่ ปวดแถวๆ ราวนม วันไหนที่กินข้าวไม่ตรงเวลาจะยิ่งปวดมากเป็นสองเท่า แต่พอกินยาลดกรดแล้วจะหาย” ซึ่งอาการเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ออฟฟิศ คือกินข้าวไม่ตรงเวลาและมีของว่างเป็นขนมต่างๆ เมื่อมีอาการปวดท้องก็มักซื้อยากินเอง คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้เอะใจถึงอันตรายของอาการที่เป็นอยู่

ตรวจส่องกล้อง จนเจอต้นตอ...ทั้งแผลและชิ้นเนื้อในกระเพาะอาหาร
เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เธอเริ่มทนกับความเครียดและอาการที่เป็นไม่ได้ จึงถามเพื่อนที่เป็นแพทย์ด้านลำไส้ว่าการตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหารเหมาะกับใคร ซึ่งตอนนั้นเธอได้คำตอบว่าเหมาะกับคนที่ท้องอืด เรอเปรี้ยว อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด อุจจาระมีสีเข้ม ซึ่งเธอเองก็ไม่มีอาการแบบนั้นเลย
“เราแค่ปวดท้อง มีอาการของโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน กลืนอาหารได้ปกติ แต่ไม่รู้มีอะไรดลใจให้ไปหาหมอที่ รพ.พญาไท 2 หลังจากตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหารแล้ว คุณหมอเอาภาพแผลในกระเพาะมาให้ดู และเจอชิ้นเนื้อ ซึ่งตัดไปตรวจแล้วต้องรอผล 1 สัปดาห์”

แม้ในวันที่รู้ข่าวร้ายที่สุด...แต่เธอก็ฟังอย่างมีสติที่สุด 
7 วันผ่านไปก็ถึงวันที่เธอต้องฟังผลการตรวจชิ้นเนื้อ ซึ่งเธอบอกว่าวันนั้นยิ้มแย้ม พูดคุยและเฮฮากับคุณหมอตามปกติ
“ตอนแรกคุณหมอให้ตั้งสติ เราก็รับปาก หมอถามว่า ‘แฟนมาด้วยมั้ย มีครอบครัวหรือเปล่า พ่อแม่ไม่มาด้วยหรือ มีเพื่อนแถวนี้มั้ย’ ถามย้ำอยู่หลายรอบจนเธอชิงถามคุณหมอก่อนว่า ‘มะเร็งหรอคะ?’ คุณหมอตอบว่า ‘อืม’ พร้อมกับส่ายหัวเพราะไม่น่าจะเกิดด้วยความที่เราอายุยังน้อย”
หลังจากฟังผลแล้ว เธอก็โทรหาเพื่อนที่เป็นแพทย์ด้านลำไส้ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนคุยกับคุณหมอ “เราเดินออกมาจากห้องตรวจ ไม่ได้รู้สึกเศร้าหรืออะไร...แค่คิดถึงพ่อกับแม่ คิดว่าเราจะเป็นภาระคนอื่นหรือเปล่า ตอนนี้เราใช้ชีวิตปกติ ขับรถไปไหนมาไหนได้ ไม่ร้องไห้ นอนหลับได้ปกติ ขณะที่ทุกคนเป็นห่วง โทรมาตลอดเวลา”



มะเร็งกระเพาะอาหารส่วนล่างระยะที่ 3 ทำให้เธอต้องตัดกระเพาะทิ้งทั้งลูก
“คุณหมอบอกว่าโรคนี้ไม่ค่อยมีอาการ จะมีก็ตอนที่เป็นหนักแล้วซึ่งคนที่ไปหาหมอส่วนใหญ่อาการเยอะแล้ว กรณีของเธอคือสามารถผ่าตัดได้ ซึ่งแนวทางการรักษาคือต้องตัดออกทั้งลูก หลังจากนั้นต้องทำซีทีสแกน โดยพบว่ามะเร็งได้กระจายไปต่อมน้ำเหลืองข้างๆ ซึ่งหมอบอกว่าผ่าตัดเสร็จอาการก็จะดีขึ้น”
“เราโชคดีหลายอย่าง โชคดีที่อยู่ๆ ไปตรวจแล้วเจอทั้งที่ไม่มีอาการ โชคดีที่ได้คิวผ่าตัดเร็วคือส่องกล้องวันที่ 30 พ.ย.ผ่าตัดวันที่ 11 ธ.ค.” หลังจากนั้นเธอก็พักรักษาตัวและอาการดีขึ้นตามลำดับ โดยขั้นตอนต่อไปคือต้องไปตรวจร่างกายอีกครั้ง คือซีทีสแกน ตรวจเลือด และเอาผลไปให้คุณหมอเคมีบำบัดวางแผนการรักษา ว่าต้องให้เคมีบำบัดกี่ครั้ง ใช้ยาสูตรไหน และเนื่องจากไม่มีกระเพาะอาหารเหมือนเดิมแล้ว สิ่งที่เธอกินได้คืออาหารเหลว และไม่สามารถกินอาหารที่มีกากใยได้เลย

มอง “มะเร็ง” เป็นเพื่อน...อยู่กับเราไม่ได้ เดี๋ยวก็หายไปเอง
“บางทีสิ่งที่เราคิดมันคือจิตใจของเรามากกว่า ถ้าจิตใจเราอ่อนแอ ร่างกายจะยิ่งอ่อนแอตาม วันที่รู้ผล พอกลับถึงบ้านเห็นทุกคนหน้าเศร้า ยิ่งทำให้คิดว่าฉันต้องเข้มแข็ง ไม่อยากให้ทุกคนเศร้าหรือร้องไห้กับสิ่งที่เราเป็น ส่วนตัวเราเองก็ไม่คิดว่าเป็นแล้วจะต้องตาย คิดว่าทำทุกวันให้เหมือนปกติ แค่มะเร็ง รักษาก็หาย คิดซะว่ามาเป็นเพื่อน เราก็พยายามอยู่กับมัน ถ้ามันอยู่ไม่ได้เดี๋ยวก็ไปเอง”

แม้เรื่องราวของเธอจะน่าตกใจ แต่ก็ทำให้เราเห็นว่าพลังบวกในตัวเธอนั้นจะสามารถเอาชนะกับโรคร้ายที่เธอเผชิญอยู่ได้อย่างแน่นอน และอย่าลืมที่จะดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี เพราะบางโรคก็ไม่ได้มีสัญญาณเตือนให้เราได้ตั้งตัว 




 
-->