เบื้องหลังวันปล่อยผี... บางสิ่งที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ Halloween

Trick or Treat ?

วันฮัลโลวีนหรือที่คนไทยเรียกกันว่าวันปล่อยผี อาจไม่ได้แพร่หลายในสังคมไทยเหมือนเทศกาลอื่นๆ ที่รับมาจากตะวันตก อย่างวันวาเลนไทน์หรือวันคริสต์มาสต์

แม้ว่าคุณจะไม่เคยร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ แต่เคยสงสัยมั้ยว่า Jack o' lanterns เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ทำไมผู้คนต้องกินแอบเปิ้ลในเดือนตุลาคม? แล้วทำไมแมวดำจึงเป็นตัวแทนแห่งความลึกลับ? ... ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจประวัติศาสตร์ เทศกาลนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะสามารถสืบย้อนไปได้ถึงไอร์แลนด์โบราณ เลยทีเดียว



ต้นกำเนิดจากเทศกาล “All Hallow's Eve” 
All Hallow's Eve เป็นเทศกาลที่มีอายุกว่า 2,000 ปีของชาวเซลต์ กลุ่มคนนอกศาสนาที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ทุกวันนี้คือไอร์แลนด์
เป็นคำเรียกค่ำคืนที่สองของเทศกาล Samhain ที่ชาวเซลต์จะเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดของฤดูเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ร่วงและย่างเข้าสู่ฤดูหนาวที่ชาวเซลต์ถือว่าเป็นฤดูแห่งความมืดและความตาย พวกเขาเรียกคืนวันที่ 31 ตุลาคม ว่า All Hallow's Eve โดยเชื่อว่าโลกแห่งคนเป็นและคนตายมาบรรจบกัน เหล่าวิญญาณจะมายังโลกมนุษย์เพื่อทำนายอนาคต ขณะที่ชาวเซลต์จะเต้นรอบกองไฟ บูชายัญ แล้วแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายที่ทำมาจากศีรษะและหนังสัตว์ – ปัจจุบันยังมีคนที่มีความเชื่อแบบวิคคาและพวกนอกศาสนาใหม่ เฉลิมฉลองในรูปแบบ Samhain ดั้งเดิม

โดยคำว่า Hallow เป็นคำอังกฤษโบราณแปลว่า “Holy/ศักดิ์สิทธิ์” ส่วน Eve หมายถึง “คืนก่อน” โดยคำว่า All Hallow's Eve จึงหมายถึงเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนวันศักดิ์สิทธิ์... กระทั่งช่วงศตวรรษที่ 16 ก็เรียกกันสั้นๆ ว่า Hallow-e'en และในช่วงศตวรรษที่ 18 เครื่องหมายวรรคตอนต่างๆ ก็ถูกตัดออกไป เหลือเพียง Halloween

ถ้าไม่มี Irish Potato Famine เราอาจไม่รู้จัก Halloween
Irish Potato Famine หรือทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ เป็นช่วงที่เกิดทุพภิกขภัย โรคระบาด และการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ระหว่างปี ค.ศ.1845-1852 กว่า 1.5 ล้านคนเลือกลงเรือไปอเมริกา โดยนำความเชื่อและประเพณีที่สืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษไปโลกใหม่ด้วย ฮัลโลวีนจึงมาตั้งรกรากและเติบโตที่สหรัฐอเมริกา ก่อนแพร่กระจายไปทั่วโลก 


ครั้งหนึ่ง เคยเป็นเทศกาลหาคู่ของสาวๆ 
ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 วันฮัลโลวีนกลายเป็นวันที่สาวๆ ออกตามหาความรัก เกมที่นิยมเล่นมากที่สุดคือ Snap Apple ซึ่งผู้เข้าแข่งจะต้องกินแอบเปิ้ลให้เร็วที่สุดโดยไม่ใช้มือจับ เชื่อว่าคนที่กินหมดก่อนก็จะได้แต่งงาน นอกจากนี้ยังมีเกมโยนเปลือกแอบเปิ้ล แล้วดูว่าคล้ายกับตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใด เป็นการทำนายชื่อย่อของสามีในอนาคต




ทำไมต้องให้ลูกอม-ขนมหวาน
ประมาณปี 1200 ในอังกฤษ ไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และเยอรมนี “Soul cake" หรือเค้กสำหรับวิญญาณ เป็นขนมราคาแพงที่แพร่หลายอย่างมาก ทำมาจากหญ้าฝรั่งและลูกเกด เค้กนี้หมายถึงการให้เกียรติและล่อใจเหล่าวิญญาณที่เดินทางในวันที่ 31 ตุลาคม – เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าขอทานจะเดินไปย่านคนมีเงินแล้วเคาะประตูขอโซลเค้ก แลกกับการที่พวกเขาจะสวดให้ญาติของคนรวยที่ล่วงลับไปแล้ว แต่แทนที่พวกเขาจะพูดว่า "trick or treat"  เหล่าขอทานจะเปล่งเสียง "A soul cake, a soul cake, have mercy on all Christian souls for a soul cake!"

ใช้จ่ายกันปีละ 9,000 ล้านดอลลาร์!!!
สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ สหรัฐอเมริกาคาดวาในปีนี้ ชาวอเมริกันจะใช้จ่านเงินถึง 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 300,000 ล้านบาท!!! ไปกับการเฉลิมฉลองเทศกาลฮัลโลวีน (เป็นอันดับสอง รองจากคริสต์มาส) หรือเฉลี่ยคนละ 86.79 ดอลลาร์เลยทีเดียว




Jack o' lanterns ยุคแรกไม่ใช่ฟักทอง
มีที่มาจากตำนานของชาวเซลต์เกี่ยวกับชายที่ชื่อว่า Stingy Jack ที่ใช้กลลวงหลอกปีศาจ เมื่อเขาเสียชีวิตลง ทั้งสวรรค์และนรกไม่รับตัวเขา จึงต้องวนเวียนอยู่บนโลก แจ็คเดินปล่าวเปลี่ยวยามค่ำคืนกับตะเกียงที่ทำมาจากหัวผักกาดสีม่วงเพื่อส่องทาง ชาวไอริชจึงเอาหัวผักกาดมาแกะสลักเป็นใบหน้าที่น่ากลัวแล้ววางไว้ที่หน้าต่าง เพื่อขับไล่วิญญาณร้ายออกไป และเมื่อมีการอพยพไปอเมริกา ฤดูแห่งการเฉลิมฉลองตรงกับช่วงที่ฟักทองออกผลพอดี จึงนำมาใช้แทนผักกาดในที่สุด

โรคกลัววันฮัลโลวีน ก็มีเหมือนกัน
ไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่แต่งตัวออกไปสนุก แต่เป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับโรคกลัวแมงมุมและโรคกลัวที่โล่งหรือชุมชน ซึ่งแพทย์มีทางรักษา ฟอร์บส์ อธิบายว่าโรคนี้คือความกลัวคนแปลกหน้าแบบผิดปกติ ทั้งที่คนนั้นไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด 

รู้เบื้องหลังกันพอให้กระจ่างกันแล้ว คืนวันที่ 31 ตุลาคม นี้เราไปตระเวณราตรีกันเถอะ แล้วอย่าลืมมาแชร์กันนะว่าคุณสนุกขนาดไหน



 

-->