Stay Strong! ถอดวิธีคิดให้ผ่านจุดที่สูญเสียทั้งแฟนและแม่ไปได้ในปีเดียวกัน!

เราเชื่อว่าใครที่เจอเธอคนนี้ครั้งแรก จะไม่มีทางได้รู้เลยว่าภายใต้รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะอันแสนสดใสนั้น เธอคือผู้หญิงสุดสตรองที่ผ่านจุดที่เลิกกับแฟนที่คบกันมา 10 ปี และต้องสูญเสียคุณแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับในปีเดียวกัน   

 

พาย - ภาริอร วัชรศิริ  นักเขียนวัย 28 ปี ที่ใช้ชีวิตดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดในสมองแตกด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่อายุ 16 ปี คอยจัดการกิจวัตรประจำวันทุกอย่าง ตั้งแต่การอาบน้ำ แต่งตัว เปลี่ยนผ้ารองขับถ่าย ป้อนอาหาร จัดยา ทำกายภาพ อ่านหนังสือให้แม่ฟัง รวมไปจนถึงการพาแม่ไปโรงพยาบาล

เธอเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้ม “พายไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปเท่าไหร่ พอเลิกเรียนปุ๊ปก็ต้องกลับบ้านไปดูแลเเม่ แต่พายไม่ได้คิดว่ามันเป็นความทุกข์อะไรมากมายนัก พอผ่านช่วงเวลานึงไป ค่อยๆ ได้เรียนรู้กับมัน เลยได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นโอกาสที่เราจะได้ดูแลแม่มากกว่า แล้วเราก็โชคดีที่มีเพื่อน มีแฟนเข้าใจ แถมยังช่วยดูเเลแม่ให้ด้วยในบางครั้ง จนเรารู้สึกว่าในความโชคร้ายนั้นก็ยังโชคดีที่ชีวิตนี้ยังมีพวกเขาอยู่นะ” 

ตลอดระยะเวลา 10  ปีที่คบกันเขาอยู่ข้างเราเสมอ 
แฟนพายเป็นผู้ชายที่ดีมาก จนรู้สึกว่าทำไมเราโชคดีแบบนี้ (หัวเราะ) เขาเข้าใจในตัวพาย เข้าใจในชีวิตประจำวันที่ต้องดูแลแม่ เราจะไม่สามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้นานๆ หรือข้ามวันเหมือนคู่รักคู่อื่น เรื่องไปต่างจังหวัด หรือเที่ยวต่างประเทศคือลืมไปได้เลย แทบจะไม่เคยได้ไปด้วยกัน แต่เขาไม่เคยบ่นหรือทำให้เราลำบากใจ แถมยังช่วยดูแลเเม่ เปลี่ยนแพมเพิร์ส ทำแผล อุ้มแม่ขึ้นลงจากเตียง พาไปหาหมอ เรียกได้ว่าเป็นแฟนที่ประเสริฐมากๆ เลยล่ะ

 


ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ "ไม่มีเขา"
ในชีวิตพายมีคนสองคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอดคือ แฟนกับแม่ เรามีความรู้สึกว่าชีวิตนี้จะเจอเรื่องร้ายแค่ไหน มันจะไม่เป็นไรเลย ยังไงก็จะผ่านพ้นไปได้ ขอแค่มีสองคนนี้อยู่ด้วย แต่เเล้วเมื่อต้นปี 2018 อยู่ๆ แฟนพายก็บอกพายว่า ความรู้สึกของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความสัมพันธ์มันยาวนานจนมันข้ามผ่านความรู้สึกของคำว่าแฟน จนรู้สึกเหมือนเพื่อนไปแล้ว ซึ่งเขาเองก็เสียใจ แล้วก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย

เมื่อ  Mindset ไม่ตรงกัน สิ่งที่ทำได้คือ เลิก !!! 
พายมองว่าคนเราเมื่อ Mindset มันไม่ตรงกัน มันก็ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น แต่การพยายามยื้อไปน่าจะกลายเป็นว่าเสียเวลาเปล่า ถามว่าเสียใจมั้ย โห.. โคตรเสียใจเลยนะ เพียงเเต่เราไม่ได้มานั่งฟูมฟายว่า ผู้ชายคนนี้ฉันต้องยื้อเขาไว้เป็นของฉันคนเดียว แต่พายกลับพลิกไปอีกแบบนึงว่า จริงๆ แล้วเราต่างก็เป็นคนที่มีคุณค่าในตัวเอง เพราะฉะนั้นแค่คนคนนึงที่ไม่ได้เห็นคุณค่าเราในแบบเดิมแล้ว มันก็ไม่เป็นไรหรอก แทนที่จะคิดว่าถ้าไม่มีเขาแล้วเราต้องแย่แน่ๆ เราสิต้องเปลี่ยนไปคิดว่า ถึงเราจะไม่มีเขาอีกแล้วต่อจากนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะที่ผ่านมาคือเราโชคดีที่เคยได้รับสิ่งดีๆ นั้นมาตั้ง 10 ปีแล้วไง ที่เราไม่มีตอนนี้คือคนรัก แต่ความรักที่ดีน่ะเราเคยมีแล้ว 

 


ไม่จมจ่อม แต่ไม่เร่ง เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป 
พายมีแม่ที่ต้องดูแล เพราะฉะนั้นจะมานั่งเสียใจนานไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้เร่ง หรือกดดันตัวเองว่า ฉันต้องลืมให้ได้ ฉันจะไม่ร้องไห้แล้ว เพียงแต่ไม่จมจ่อมกับมันเท่านั้นเอง คอยหมั่นดูความรู้สึกตัวเอง อ๋อ..ตอนนี้เศร้า ตอนนี้หดหู่ แต่จะไม่เร่ง เรียกว่าให้รู้ตัวอยู่เสมอ พยายามมองความสมเหตุสมผล ไม่ตั้งคำถามกับมัน เพราะถ้าตั้งมากๆ จะทำให้ติดกับดักความทุกข์ เขาเดินไปเเล้ว แต่เราจะยังอยู่ที่เดิมตรงนี้กับคำถามซ้ำๆ แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการกอดความทุกข์ไว้กับตัวเอง 

เดินหน้าใช้ชีวิตกับสิ่งที่ดีที่สุดคือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง 
พายมองว่าชีวิตตัวเองยังมีประโยชน์ให้กับคนอื่นได้อีกมาก จากความโชคดีที่ได้เป็น  Speaker ให้กับ TEDxBangkok เมื่อปี 2017 มันเลยทำให้ได้รู้ว่าชีวิตพายมันมีคุณค่ากับคนอื่นเหมือนกันนะ เราสามารถส่งต่อแนวความคิดดีๆ หรือประสบการณ์บางอย่างไปหาเขาได้ พอเราคิดได้แบบนี้ เวลาสูญเสียคนคนนึงไปเพราะเขาไม่รักเราเท่าเดิมแล้ว ก็เลยไม่เป็นไร เพราะรู้ว่ายังมีคนอื่นที่รักเราอยู่อีกมากเหมือนกัน

สุดท้ายเราได้คำตอบว่า “เรารักเขาจริง ถึงแม้ความสุขของเขาจะไม่มีพาย” 
ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนก็เกือบหายขาดแล้วค่ะ คือเลิกร้องไห้ กลับมากินข้าวอร่อยเหมือนเดิม (หัวเราะ) ส่วนนึงอาจจะเพราะว่าที่ผ่านมาก็มีแต่ความทรงจำดีๆ ด้วย แล้วก็รู้สึกว่าทำเต็มที่ต่อกันที่สุดแล้วตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งถึงตอนนี้เขาก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว แต่พายว่าถ้าเขาได้เจอคนที่ทำให้รู้สึกดีได้มากๆ ทำให้ใจเต้นได้แบบคนเป็นแฟนกันอีกรอบ นั่นก็โอเคมากๆ แล้ว เลยได้คำตอบว่า ความรู้สึกเป็นสุขที่เห็นเขาเป็นสุขนั่นแหละ คือความรักจริงๆ ล่ะ

พายุลูกเก่าผ่านไป พายุลูกใหม่ก็ซัดเข้ามาอีกรอบ 
เป็นอะไรที่ไม่มีลางเลยเกี่ยวกับเรื่องความตายของแม่ เขาป่วยมานานก็จริง แต่ก็อยู่ในความดูแลอยู่ในความปลอดภัยตลอด แต่ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ เขาทรุดโทรมลงเรื่อยๆ จากการป่วยมา 11 ปี วันๆ นึงแม่กินยาเยอะมาก น้อยสุดคือประมาณ 20 เม็ด แล้วอยู่ๆ วันที่เรากลัวที่สุดก็มาถึง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ช่วงปลายปี 2018 วันนั้นเราเรียกรถพยาบาลมารับแม่  เพราะแม่มีอาการท้องโตและเเข็ง แค่นั้นจริงๆ เเต่เชื่อมั้ยว่าความรู้สึกตอนที่ยืนมองเขายกแม่ขึ้นรถพยาบาล พายมีความรู้สึกว่าเราจะผ่านครั้งนี้กันไปไม่ได้เลย ทั้งที่จริงๆ ตลอด 11 ปี เราเข้าออกโรงพยาบาลกันบ่อยมาก แต่ทุกครั้งจะรู้สึกว่ายังไงก็ผ่านไปได้ แต่สำหรับครั้งนี้มันไม่ใช่

การตัดสินใจครั้งสุดท้าย...
หมอบอกให้เตรียมใจไว้ แม่ไตเสียจากการที่กินยาเยอะมาตลอด 11 ปี แล้วก็ถามว่าจะให้ปั๊มหัวใจมั้ย ฟอกไตมั้ย โอ้โห มันเป็นคำถามที่ยากมาก เพราะคำตอบเรามันคือชี้เป็นชี้ตายให้กับแม่เลยนะ สุดท้ายเราก็ตัดสินใจว่าเราจะปล่อยแม่ไป แม่ทรมานมานานมากแล้ว ซึ่ง 24 ชั่วโมงสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกันมันคอมพลีททุกอย่าง ไม่ติดค้างอะไร เพราะตลอดเวลาเราเต็มที่ให้เขาหมด ได้พาคนที่รักเขาแล้วเขาก็รักมาดูใจ จนถึงตอนที่แม่ไปมันสงบ เข้าใจคำว่าไปสบายจริงๆ เพราะเเม่ไม่ต้องทรมานอีกต่อไปแล้ว 

 


แม่ไม่ได้ไปไหน แต่แค่เปลี่ยนมาอยู่ในใจเราเท่านั้นเอง 
โมเม้นท์ที่กลับมาบ้านหลังงานศพเสร็จทุกอย่างแล้ว มันเป็นความรู้สึกว่างเปล่าประมาณนึง  มีความงงๆ ที่บ้านเราไม่ได้ใหญ่นะ แต่พอไม่มีแม่กลับรู้สึกว่าใหญ่ ของของแม่ยังอยู่ที่เดิมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแพมเพิร์ส เตียงนอน พายเกิดและโตที่นี่โดยที่มีแม่ตลอด ซึ่งทุกคนบอกให้ย้ายออกมาอยู่คอนโด แต่สุดท้ายพายไม่อยากไปไหนอยากอยู่ที่นี่แหละ ก็เลยจัดบ้านใหม่ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ เอาของของแม่ไปบริจาคให้คนที่จำเป็นต้องใช้ต่อ แล้วเก็บของสำคัญๆ ของเเม่ไว้ที่ข้างเตียง เอาอัฐิของแม่ไปทำจี้ห้อยคอ สุดท้ายแล้วเราก็ไม่รู้สึกเหงาขนาดนั้นนะ  เหมือนแม่ยังอยู่ในความรู้สึกพายตลอดเวลามากกว่า

Move On กับชีวิตที่ไม่มีทั้งคู่ 
ก็กลายเป็นสนุกกับงานมาก เริ่มไปทำงานที่ออฟฟิศ ขยายขอบเขตงานให้มากขึ้น ทำอะไรหลากหลาย ได้ใช้ชีวิตแบบคนในวัยเดียวกัน มีอิสระมากขึ้น ใช้เวลากับเพื่อนๆ กับคนรอบตัว เพราะได้เรียนรู้คุณค่าของความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอีก ปี 2018 สอนมาดีค่ะ (หัวเราะ) ส่วนเรื่องความรัก ก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง แต่ไม่โฟกัสมาก มีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร  เรื่อยๆ ไปก่อน แฮปปี้ดี


หนังสือ How I Love My Mother ที่พายเขียนเรื่องราวน่ารักๆ ของเธอ กับคุณแม่ เป็นหนังสือที่ดีมาก
เราอ่านแล้วน้ำตาไหลในความรักสุดลึกซึ้งของแม่ลูกคู่นี้จริงๆ


ขอยอมใจในความสตรอง และความคิดแบบ Positive ของเธอคนนี้มากจริงๆ หวังว่าเรื่องราวของพายจะเป็นกำลังใจดีๆ ให้กับคนที่กำลังเจอปัญหาชีวิตกันอยู่ให้มีแรงฮึดพร้อมสู้กับทุกสิ่ง และที่สำคัญอย่าลืมให้คุณค่ากับตัวเองด้วยล่ะ  







 
-->