6 เทรนด์อาหารที่มาแร๊งส์ แต่กลับทำร้ายสุขภาพแบบไม่รู้ตัว



เดี๋ยวนี้จะตามเทรนด์อะไรก็ต้องตามกันอย่างมีสติ อย่างเรื่องของเทรนด์อาหารสุขภาพนี่ก็เหมือนกัน ที่เขาว่ากันว่าดีนักดีหนาเนี่ย เราต้องศึกษาให้ดีก่อนว่ามันดีจริงๆ อย่างที่เขาพูดกันหรือเปล่า เพราะถ้ามัวแต่อินตามกระแสแบบไม่ลืมหูลืมตาก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เหมือนกัน วันนี้เราเลยยกเอา 6 เทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง มาให้ทุกคนหาคำตอบกัน 





1. ชาร์โคล 
เทรนด์ชาร์โคลมาแรงซะจนเอะอะอะไรก็ใส่ชาร์โคลกันไปหมด ไม่เว้นแม้เเต่อาหาร ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเห็นว่ามันคือความแปลกใหม่ น่าลอง แต่รู้กันหรือเปล่าว่าเจ้าชาร์โคลที่เห็นอยู่ทั่วๆ ไปเนี่ยคือ ส่วนใหญ่ทำมาจาก Activated Charcoal (ถ่านกัมมันต์) ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย จากความเชื่อที่ว่ากันว่าการกินอาหารที่มีส่วนผสมจากชาร์โคลจะช่วยในการดูดซึมสารพิษ  แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทางองค์กรอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)  ระบุไว้ว่า “ชาร์โคลนั้นไม่สามารถแยกได้ว่าสารตัวไหนดีต่อร่างกาย สารตัวไหนที่ร่างกายไม่ต้องการ” เพราะฉะนั้นแล้วการกิน หรือดื่มอาหารที่มีส่วนผสมของชาร์โคลย่อมมีผลข้างเคียงอย่างแน่นอน แถมยังทำให้ประสิทธิภาพของยาที่ทานเข้าไปลดน้อยลง หรือแม้กระทั่งยาคุมกำเนิด  รวมไปถึงชาร์โคลยังดูดซึมวิตามิน และแร่ธาตุในร่างกายด้วย  


2. ดีท๊อกซ์ หรือลดน้ำหนักด้วยน้ำผลไม้สกัดเย็น 
เวลาที่ใครๆ คิดอยากจะลดน้ำหนัก หรือสกัดสารพิษในร่างกาย จะต้องมีเทรนด์ดีท๊อกซ์ด้วยน้ำผักผลไม้สกัดเย็นผุดขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งถ้าเผินๆ ดูหมือนจะส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ดีเอาซะเลย เพราะลองคิดดูว่าการที่เราดื่มแต่น้ำผลไม้เป็นเวลา 3 – 4 วัน หรือบางโปรแกรมที่เคยเจอมาคือเป็นอาทิตย์ โดยที่ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารอื่นเลย ซึ่งกระทรงสาธารณสุขได้เคยออกมาเตือนแล้วว่าวิธีการดีท๊อกซ์แบบนี้จะทำให้ร่างกายแย่ เพราะนอกจากคุณจะไม่มีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ยังไม่ได้รับโปรตีนอีกด้วย ทำให้ร่างกายก็จะพยายามหาโปรตีนจากที่อื่น ซึ่งก็คือกล้ามเนื้อนั่นเอง และเมื่อกล้ามเนื้อถูกทำลาย การเผาผลาญก็จะแย่ลงตาม ก็เลยทำให้วิธีนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถมยังทำให้คุณลดน้ำหนักยากขึ้นไปอีก เพราะหลังจากผ่านโปรแกรมดีท๊อกซ์ไปแล้ว ร่างกายจะโหยอย่างหนัก และเผลอทำให้กินอาหารเข้าไปแบบไม่ยั้ง จนน้ำหนักเด้งขึ้นมาเท่าเดิม หรือเผลอๆ อาจมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ 


@detoxshop


3.  น้ำมันมะพร้าว 
หลายปีมานี้มีผลการวิจัยจากหลายแหล่งออกมาบอกว่าน้ำมันมะพร้าวนั้นดีแสนดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกายนู้นนั่นนี่ แต่ในทางกลับกันก็มีผลการวิจัยของ คาเรน มิเชลส์ ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ออกมาต่อต้านว่า จริงๆ แล้วน้ำมันมะพร้าวเนี่ยน่ากลัว และเเย่ยิ่งกว่าเนย ไขมันวัว และไขมันหมูซะอีก เพราะน้ำมันมะพร้าวนั้นมีคอเลสเตอรอลสูง แถมยังส่งผลเสียต่อหัวใจ แต่ข้อสรุปอันนี้นั้นก็ยังไม่ได้มีผลการวิจัยที่ออกมาอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นแล้วทางที่ดีที่สุดคือ กินได้แต่อย่ามากจนเกินไป ซึ่งปริมาณที่เหมาะสมที่สุดคือไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน

 
@Mediclanewstoday


4. อาหาร และเครื่องดื่มแบบ Gluten - Free 
ช่วงหลังๆ ถ้าสังเกตดูเรามักจะเห็นบนกล่องอาหาร ขนม หรือกล่องเครื่องดื่มต่างๆ หลากหลายแบรนด์ที่มีสัญลักษณ์ว่า  Gluten Free เพราะหลายๆ คนเชื่อกันว่าการไม่ทานอาหารที่มีส่วนผสมของกลูเตนดีต่อร่างกาย ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะการไม่กินอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีกลูเตนอาจได้ผลดีต่อผู้ป่วย ผู้ที่จำเป็นต้องเลี่ยง อย่างคนที่แพ้กลูเตน ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องเพราะกลูเตน หรือแพทย์สั่งห้ามไม่ให้กิน แต่สำหรับคนที่ไม่ป่วย มีร่างกายเป็นปกติ ไม่ได้มีอาการแพ้กลูเตนแต่อย่างใดนั้น โนโว นอว์ดิค ผู้ก่อตั้งศูนย์ Basic Metabolic Research  ของมหาวิทยาลัย โคเปญเฮเกน เดนมาร์ค  บอกไว้ว่า “เราสามารถกินอาหารกลูเตนฟรีได้ เพราะกลูเตนเองก็มีประโยนช์กับร่างกายเหมือนกัน แต่การที่เราเลี่ยงที่จะไม่ทานกลูเตนเลย อาจกลายเป็นว่าส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหาร เช่น เส้นใย วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ และยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และโรคเบาหวานแบบที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้อีกด้วย”

 
  

5. Say no นมวัว 
ตอนนี้ทั้งกระเเสวีแกนเอย มังสวิรัติเอย มาเเรงซะเหลือเกิน เลยทำให้เกิดนมทางเลือกที่ไม่ใช่นมวัวเต็มไปหมด เช่น นมถั่วเหลือง, นมอัลมอนด์ หรือนมมะพร้าว ซึ่งนมพวกนี้อาจจะเต็มไปด้วยเเร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ ที่สามารถทดแทนนมวัวได้ก็จริง แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่นมทางเลือกไม่มีเหมือนนมวัว นั่นก็คือ ไอโอดีน ซึ่งส่วนใหญ่ในนมทางเลือกต่างๆ จะมีอยู่เพียงแค่ 2% เท่านั้น แล้วที่สำคัญการขาดไอโอดีนนั้น อาจจะทำให้เป็นโรคไทรอยด์ได้ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขเองก็ได้ออกมาเตือนเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน หรือในเคสของคนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ถ้าไม่ดื่มนมวัวเลย ก็อาจทำให้เด็กในท้องมีไอคิวต่ำ แถมยังส่งผลต่อส่วนสูงของเด็กๆ ด้วย เพราะฉะนั้นแล้วการที่ไม่ดื่มนมวัวเลยอาจจะไม่เหมาะสมเลยซะทีเดียว แต่อาจจะปรับสลับๆ กันดื่มตามความเหมาะสมน่าจะดีกว่า 

 
@Alternativedaily


6. ดื่มน้ำมากไป
อย่างที่รู้กันว่าการดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย แต่ทุกอย่างต้องตั้งอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6-8  แก้ว หรือ  30 - 50 ออนซ์ต่อวัน โดยเราสามารถดื่มได้ในปริมาณที่มากขึ้นถ้าอยู่กลางแดด หรืออากาศร้อน เสียเหงื่อเยอะ แต่ถ้าในการใช้ชีวิตปกติประจำวันนั้น ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลคิงส์ คอลเลจ ในอังกฤษ เตือนว่า การดื่มน้ำที่มากเกินไป อาจส่งผลให้ไตของคุณทำงานหนักมากจนเกินไป เซลล์บวม ระดับโซเดี่ยมต่ำจนเกินไปได้เหมือนกัน 

อย่างที่บอกแหละว่าทุกอย่างมีทั้งด้านดี และด้านไม่ดี ทางที่ดีที่สุดคือ เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสมคือสิ่งที่ดีที่สุด
 
 
-->