เปิดเทคนิคจากนักจิตวิทยา ‘(รับ)ฟังยังไง…ไม่ให้ใจล้า’
วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับนักจิตวิทยาคลินิก ประจำโรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน คุณภรณ์ทิพย์ ศรีโรจน์นพคุณ หรือคุณมิ้นท์ เกี่ยวกับเทคนิคในการเป็นผู้รับฟังปัญหาของคนอื่นยังไง ไม่ให้ใจตัวเองพัง.jpg)
จุดเริ่มต้นของอาชีพ
‘ช่วงนั้นมีรุ่นพี่ที่โรงเรียนกลับมาเล่าให้ฟังว่าเขาเรียนจิตวิทยาคลินิก เรียนยังไง ทำงานแนวไหน พอฟังแล้วเรารู้สึกคลิก รู้สึกสนใจ’ ซึ่งพอเธอได้เรียนด้วยตัวเอง ได้ไปฝึกงาน ได้ลงหน้างาน ก็ยิ่งทำให้เธอได้เห็นถึงความสำคัญของวิชาชีพนี้ จนตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท จนสอบใบประกอบโรคศิลป์ และได้มาทำงานในสายนี้
ความรู้สึกแรก กับบทบาทของการเป็นที่ปรึกษา
แม้ว่าในช่วงที่เรียน จะมีการฝึกมาบ้าง แต่ทุกครั้งที่เจอเคสจริง เธอก็ยังคงมีความตื่นเต้น ‘ตอนแรกจะเริ่มฝึกกับนักศึกษาด้วยกันเองก่อน ซึ่งก็ตื่นเต้นแล้ว เราจะต้องมานั่งคิดว่ากระบวนการทำงานครบถ้วน ถูกต้องมั้ย ระหว่างนั้นก็จะมี Supervisor คอยนั่งมอนิเตอร์เราอยู่ พออยู่ปี 4 เราได้ทำงานกับคนไข้จริงๆ มันก็จะมีความเกร็งมากขึ้น ช่วงแรกๆ ที่เจอจะเครียดมาก มีเรื่องให้คิดเยอะมาก เราต้องเตรียมตัวยังไง พร้อมมั้ย มีอะไรขาดมั้ย’ เธอเล่าว่าจุดสำคัญคือ ตอนที่ทำงาน เธอจะต้องสามารถย้ายโฟกัสจากตัวเองไปอยู่ที่คนไข้ให้ได้ เพื่อรวบรวมข้อมูลและนำไปวางแผนดูแลคนไข้ให้ดีที่สุด ซึ่งเธอก็ยอมรับว่าในช่วงแรกๆ ก็จะมีความเครียดค่อนข้างเยอะ
เมื่อยังเลือกเดินเข้ามา(ปรึกษา)…นั่นก็คือสัญญาณที่ดี
แม้ว่าจะมีหลายเคสที่ถูกบังคับให้เข้ามารับคำปรึกษา มันจึงมีความยาก โดยเฉพาะเคสที่เป็นกลุ่มของคนติดสารเสพติด การรับมือด้วยความเข้าใจคือพื้นฐานที่สำคัญ ‘ให้คิดว่ามันเหมือนเราเต้นระบำกับคนไข้ เราจะมองเห็นภาพที่เขาจะมาเจอเราอยู่ มันคงมีความตั้งใจอะไรบางอย่างภายในที่ทำให้เขายังมาเจอเราอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าแม้จะมาเจอแล้วอาจจะมีแรงต้านกัน แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องต้านเขากลับ หรือบังคับให้เค้าเลิกไปเลย’ สิ่งที่เธอทำคือให้ตัวเองไปตามแรงเหวี่ยงของเรื่องราว พร้อมรับฟัง และให้พื้นที่แก่ผู้รับบริการ
บางครั้งเรื่องที่ฟัง…อาจติด(ใจ)กลับมาบ้าน
‘ถ้าเป็นช่วงแรกอาจจะมีเก็บมาคิดต่อที่บ้าน ว่าเราทำงานเป็นยังไง อาจจะติดภาพจำว่าเราคุยอะไรกับคนไข้ การตอบสนอง สีหน้าของคนไข้เป็นยังไง หรือคำพูดที่เราพูดกับคนไข้’ ซึ่งเธอเล่าว่าตอนที่เรียนนั้น เขาจะสอนให้เราเข้าใจว่าเรื่องราวของบางเคสอาจจะใกล้เคียงหรือคล้ายกับประสบการณ์เรื่องราวที่เราเจอ ซึ่งต้องอาศัยความสามารถในการตระหนักรู้ตัวเองว่าเรากำลังรู้สึกหรือกำลังคิดสิ่งนั้นอยู่ เราจะต้องค่อยๆ หยุดและวางไว้ก่อน ‘เพราะเรื่องของคนไข้ก็คือเรื่องของคนไข้ ไม่ใช่เรื่องของเราโดยตรง’
ต้องรู้จักวาง…ในแบบที่เป็นตัวเอง
บรรยากาศก็คือสิ่งที่จะช่วยตัดขาดความกังวลที่ติดมาจากเคสได้ ‘เราต้องแบ่งแยกสถานที่ทำงานกับที่บ้านให้ชัดเจน พอจบ session 1 ชั่วโมง ให้เวลาตัวเอง 5-10 นาที ในการเดินไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า เพื่อแบ่งช่วงสภาวะที่เราทำงานและต้องคิดหนักๆ ให้ผ่อนคลายลง’ หรืออีกหนึ่งเทคนิคที่เธอมักจะทำอยู่เสมอเมื่อกลับมาบ้านคือทำในสิ่งที่มีความสุข ‘อย่างของเราจะเล่นกับน้องแมวที่บ้าน หรืออาบน้ำด้วยสบู่กลิ่นที่ชอบ ดูแลร่างกายตัวเอง ดูหนัง ดูซีรีย์ที่ชอบ ฟังเพลง หรือแม้แต่การคุยกับเพื่อนการออกไปเจอเพื่อนก็ช่วยได้ และที่สำคัญเราก็จะมี Therapist ของตัวเอง’
เพราะนักจิตฯ ก็มีอารมณ์ความรู้สึก
‘มันมีเรื่องที่เรารู้สึก ที่อาจจะติดเข้ามาในวันทำงาน แต่เมื่อมาอยู่หน้างานสิ่งที่จะช่วยให้เราวางเรื่องของเราไว้ก่อนได้ คือ การที่เรามานั่งอ่านแฟ้มประวัติคนไข้ แล้วค่อยๆ ไปกับบันทึกที่เราเห็นอยู่ข้างหน้า’ แม้ว่าบางครั้งในระหว่างทำการรักษาคนไข้ อาจมีเรื่องราวบางอย่างที่แทรกเข้ามาในหัว เธอบอกว่านั่นคือการที่เราหลุดโฟกัสจากคนไข้ ‘สิ่งที่เราต้องทำคือเราต้องรู้ให้ทันความคิดของตัวเอง เราต้องคุยกับตัวเองว่า ตอนนี้เรากำลังมีความคิดของตัวเองอยู่ในหัว ลองกลับไปฟังคนไข้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่’ และนี่คือเทคนิคที่เธอมักจะทำอยู่บ่อยๆ เวลาที่มีเรื่องแทรกขึ้นมาในหัว
คุณสมบัตินี้…คือสิ่งที่นักจิตฯ ควรต้องมี
ในมุมมองของเธอ สิ่งสำคัญในการรักษาคือการเริ่มจากการฟัง ‘การเป็นผู้ฟังโดยไม่ตัดสิน เปิดใจยอมรับ หรือที่เรียกว่าฟังให้เป็น ฟังให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายอยากจะสื่อสารอะไร นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีของการเป็นนักจิตฯ เพราะว่าการที่เราเปิดใจเพื่อที่จะเรียนรู้ชีวิต หรือมุมมองของอีกฝ่ายที่เข้ามาพูดคุยกับเรา’ และอีกหนึ่งทักษะสำคัญของนักจิตฯ ที่ดี คือการมี Self-Awareness ‘เราต้องรู้สภาวะของตัวเอง ว่าเรารู้สึกอย่างไร เรากำลังไหวหรือไม่ไหว หรือเรากำลังสงสัยอะไรในตัวเองอยู่หรือเปล่า’
‘ลองให้เวลากับตัวเองมากขึ้นในการทำความเข้าใจอารมณ์และความคิดของตัวเองว่าเราคิดอะไร ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ เราต้องเข้าใจและให้พื้นที่ทางอารมณ์โดยที่เราไม่ตัดสินตัวเองจนเกินไป เพราะเราคือมนุษย์ที่มีทั้งจุดที่เข้มแข็งและเปราะบาง อย่าปิดกันตัวเองเยอะเกินไป อย่ารู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ใจดีกับตัวเองขึ้นหน่อย แล้วเราจะได้เห็นเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ในตัวเองมากขึ้น’