ผลตรวจเปลี่ยนชีวิต จากคนที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็น ‘มะเร็งเต้านม’

“ชีวิตที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะเชื่อมาตลอดว่าตัวเองดูแลสุขภาพดีแล้ว” ประสบการณ์จริงจาก คุณพอลลีน – พิมลพัชร์ ธนุสุทธิยาภรณ์ วัยสามสิบกว่า ผู้หญิงที่ทั้งทำงานหนัก ช่วยดูแลธุรกิจครอบครัวไทยบีบีฟรุท และยังมีธุรกิจส่วนตัวแบรนด์เสื้อผ้า Taupe แต่ผลตรวจเมมโมแกรมเพียงครั้งเดียว กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนความคิดครั้งสำคัญของชีวิต



คนที่ทุ่มเทให้ทุกอย่าง — โดยเฉพาะกับตัวเองคุณพอลลีนเล่าว่าเธอเป็นคนดูแลสุขภาพมาตลอด ตั้งแต่เด็กก็ถูกปลูกฝังให้รักการออกกำลังกาย ไปสวนลุมกับคุณพ่อคุณแม่เป็นประจำ จนติดเป็นนิสัย เรื่องอาหารก็พิถีพิถัน เลือกกินแต่ของที่ดีต่อสุขภาพ ส่วนแอลกอฮอล์ก็แทบไม่แตะเลย

นอกจากเรื่องสุขภาพ เธอยังเป็นคนทุ่มเทกับทุกเรื่องในชีวิตอยู่เสมอ ตั้งใจเรียนจนได้เกียรตินิยม ทำงานก็เต็มที่กับทุกหน้าที่ “ฉันเป็น Perfectionist” — เธอยอมรับกับตัวเองแบบนั้น



จนเมื่อเข้าสู่วัย 30 เธอเริ่มตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะพี่ๆ ในบ้านมักซื้อโปรแกรมตรวจมาให้ แม้ตอนนั้นยังไม่รู้สึกว่าการตรวจสุขภาพจำเป็น เพราะคิดว่า “เราดูแลตัวเองดีอยู่แล้ว” ก็มีไปตรวจบ้างปีเว้นปี แต่หลังช่วงโควิด เธอก็เริ่มละเลยการตรวจสุขภาพไป

ความเข้าใจผิด คิดว่าอายุน้อยยังไม่ต้องตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมช่วงวัยที่คุณพอลลีนไปตรวจสุขภาพ ยังอยู่ในช่วง 30 ต้นๆ โปรแกรมที่ไปตรวจจึงยังไม่มีการตรวจมะเร็งเต้านม และด้วยความเข้าใจ รวมไปถึงคนรอบข้างบอกว่า 40 ค่อยตรวจ เธอเลยยังไม่ได้ใส่ใจกับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมมาก่อน 

จนกระทั่งมีโอกาสได้รับงานรีวิวตรวจเมมโมแกรมกับโรงพยาบาลพญาไท ตอนแรกก็ลังเล เพราะคิดว่า “ยังไม่ถึงวัยต้องตรวจ” แต่เมื่อเป็นงานก็เลยตัดสินใจรับ — แม้ตอนออกจากห้องตรวจยังพูดกับตัวเองว่า “ไม่น่ามีอะไรหรอก” 



ก่อนวันรู้ผล…คุณพอลลีนยังใช้ชีวิตปกติ ไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วก็ได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลโทรมาเพื่อให้เข้าไปฟังผล

“ทำไมแจ้งทางโทรศัพท์ไม่ได้ ทำไมถึงต้องไปโรงพยาบาล” เธอคิดในใจ

ความรู้สึกแรกที่ได้ฟังผลจากปากคุณหมอเมื่อคุณหมอบอกว่า “พบมะเร็งเต้านม” คุณพอลลีนเงียบไปชั่วขณะ ทุกอย่างในหัวเหมือนหยุดนิ่ง เธอบอกว่าแต่ถ้ามีคนถามว่ารู้สึกยังไงแล้วอธิบายได้ชัดที่สุดก็คงเป็นเหมือน “ไฟดับ”เพราะในชีวิตที่ผ่านมาแทบไม่เคยเจอเรื่องร้ายแรงเลย โลกของเธอสดใสมาตลอด จนวันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอไม่รู้จะก้าวต่อยังไง

เคยสงสัยมั้ย? ว่าทำไมต้องเป็น ‘เรา’“แค่ตื่นมาก็มีคำถามแล้ว” เธอสารภาพว่า “บางทีก็เห็นคนที่เหมือนไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าเรา ก็มีแอบคิด ว่าทำไมเขาไม่เป็น แล้วทำไมต้องเป็นเรา ทั้งๆ ที่เราดูแลสุขภาพมาตลอด”  แต่เมื่อค่อยๆ ตั้งสติ เธอก็เริ่มมองเห็นอีกด้าน — ว่าเธอโชคดีที่มีครอบครัวคอยอยู่ข้างๆ มีความพร้อมในการรักษา ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และสามารถพักงานเพื่อดูแลตัวเองได้เต็มที่
 
“จากไฟที่ดับ… ค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง” 


สิ่งที่ช่วยให้ก้าวผ่านได้ — คือการ “ยอมรับ”“หลักๆ คงเป็นเรื่องของการปล่อยวาง การยอมรับ ทำให้มีความสุขกับปัจจุบัน ให้เดินหน้าต่อได้ เรื่องที่ผ่านมาก็เป็นบทเรียนของชีวิต เธอรู้สึกว่าวันที่รู้สึกดับมืดเพราะว่ายึดติด มัวแต่หาคำถามว่าทำไม เพราะคาดหวังมากไป เลยทำให้เป็นทุกข์” 

ก่อนหน้านี้ที่เธอเคยเป็น Perfectionist มาตลอด ทุ่มเทกับทุกอย่างจนลืมพัก และอาจทำให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป หลังจากผ่านช่วงเวลานั้น เธอเลยเลือกจะปรับชีวิตให้สมดุลขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ เลือกทำในสิ่งที่อยากทำอย่างเต็มที่ มากกว่าการทุ่มเททุกอย่างจนหมดแรงเหมือนเมื่อก่อน



สิ่งสุดท้ายที่อยากฝาก …พยายามบาลานซ์ชีวิตให้มากขึ้น อยู่ให้มีความสุขมากขึ้น เหนื่อยก็พักบ้าง เพราะต่อให้เราประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่ถ้าป่วยจนรักษาไม่หาย ทุกอย่างที่ทำมาก็จะไม่มีความหมายเลย 

อีกอย่างนึงคืออย่าคิดว่า “เราไม่มีวันเป็นโรคนี้หรอก” เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสรักษาให้หายมากเท่านั้น การดูแลตัวเองจึงไม่ใช่แค่การกินดีหรือออกกำลังกาย แต่คือการ “กล้าไปตรวจสุขภาพ” เพื่อให้เรายังมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป
-->