Toxic Productivity ทำไมยิ่งทำงานเก่ง สุขภาพจิตยิ่งแย่

ใครที่กำลังใช้ชีวิตเป็นเดอะแบกกันอยู่บ้าง ฉันทำได้ ฉันทำเอง ฉันทำไหว มาลองเช็คตัวเองกันดูหน่อยว่าสิ่งที่คุณเป็นนั้นคุณกำลัง ‘ขยันผิดที่ผิดทาง’ อยู่หรือเปล่า



Toxic Productivity ความขยันที่เป็นพิษ Harvard Business Review ได้อธิบายความหมายของคำว่า Toxic Productivity ไว้ว่า คือแรงผลักดันที่ไม่หยุดยั้งในการทำงานหรือกิจกรรมที่ ‘มีประสิทธิภาพ’ หรือ Productive ตลอดเวลา แม้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต ความสัมพันธ์ รวมถึงคุณภาพชีวิตโดยรวม หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คนที่มีภาวะนี้จะรู้สึกว่าตัวเองต้องทำงานให้ดีให้มีประสิทธิภาพตลอดเวลาถึงจะมีคุณค่า ถ้าพักจะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที หรือรู้สึกหมกหมุ่นอยู่กับงานตลอดเวลาจนบางทีละเลยความต้องการพื้นฐานในชีวิตไป อย่างเช่น การนอนหรือการทานอาหาร หรือแม้แต่เรื่องสำคัญอื่นๆ ก็มักจะอยู่หลังงานเสมอ

สาเหตุความเป็นพิษ…เกิดได้จาก Rinaily Bonifacio และ Cooks-Campbell ได้นำเสนอสาเหตุของ Toxic Productivity นี้ไว้ว่าอาจเกิดได้จาก หนึ่งวัฒนธรรมการทำงานหนักขององค์กร ที่ทำให้เราเชื่อว่าเราจำเป็นต้องทำงานหนักและพร้อมทำงานอยู่เสมอ สองอาจเกิดจากความคาดหวังในตัวเองที่สูงเกินไป หรือยึดติดกับคำว่าสมบูรณ์แบบ สามการที่เราหมกมุ่นทำงานหนักเพื่อหลีกหนีอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าการทำงานจะช่วยให้ลืมหรือเอาตัวเองออกจากความคิดตรงนั้นได้ สี่กลัวความล้มเหลวหรือคิดว่าตัวเองดีไม่พอ จนทำให้รู้สึกว่าต้องพยายามทำงานหนักให้ได้มากที่สุดเพื่อจะประสบความสำเร็จ ห้าความเป็นพิษนั้นอาจเกิดจากแรงกดดันจากสังคม เพื่อให้รู้สึกเป็นที่ยอมรับ หรือมีคุณค่า และสุดท้ายอาจเกิดจากการวัฒนธรรมของการเปรียบเทียบ เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องของความสำเร็จ

เช็คสัญญาณเตือน ที่บอกว่าคุณกำลัง ‘ขยันผิดๆ’ จนกัดกินใจตัวเอง ความขยันหรือมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ได้ดีเป็นคุณสมบัติที่ดี ที่เราเชื่อว่าทุกคนก็คงโดนปลูกฝังมาคล้ายๆ กัน แต่อย่าลืมว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ได้ยินตามมาติดๆ ก็คือ ถ้าเราขยันผิดๆ ผิดที่ผิดทาง ความขยันนั้นก็ดูไร้ค่าได้เหมือนกัน งั้นมาดูกันดีกว่าว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าความขยันนี้กำลังกลายเป็นพิษ นี่คือจุดสังเกต ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณ…
  • ทำงานเกินเวลาเป็นประจำ วันธรรมดาก็อยู่ทำงานจนดึกดื่น กลับบ้านไปสมองก็ยังคงคิดแต่เรื่องงาน
  • รู้สึกผิดเวลาหยุดพัก แม้ว่าจะเป็นช่วงหลังเลิกงาน หรือวันหยุด เสาร์อาทิตย์ก็ตาม 
  • หมกมุ่นกับทำงานจนไม่มีพลังเหลือสำหรับเรื่องส่วนตัว ทำให้ดูแลตัวเองน้อยลงกว่าเดิม เพื่อให้ทำงานได้มากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหาร การพักผ่อน
  • รู้สึกหมดไฟ / ไม่พอใจในงานที่ทำ รู้สึกเหนื่อยล้า สิ้นหวัง
  • ละเลยความต้องการพื้นฐาน เช่น การนอนหลับ หรือการทานอาหาร เพราะมองว่าเสียเวลาในการทำงาน
  • ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เริ่มถดถอย ใช้เวลากับเพื่อนและคนรักน้อยลง โฟกัสแต่กับการทำงาน

ขยันผิด…ชีวิตเปลี่ยน และหากว่าคุณกำลังเป็น Toxic Productivity แล้วล่ะก็ นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพกายอย่างการปวดเมื่อยตัว ปวดหัว หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงแล้ว ยังส่งผลเสียไปถึงสุขภาพใจด้วย ไม่ว่าจะเป็น ภาวะ Burn Out หรือหมดไฟในการทำงาน เพราะเมื่อเราทำงานหนักเกินไปอย่างต่อเนื่อง เราจะรู้สึกหมดแรง ท้อแท้ สิ้นหวัง ยังไม่นับปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนรัก ที่เมื่อเราเลือกที่จะให้งานมาที่หนึ่ง แน่นอนว่าเวลาที่ใช้กับครอบครัวและคนรักย่อมน้อยลง เพราะเรามองว่างานสำคัญกว่า จนสุดท้ายอาจทำให้เกิดความห่างเหิน และสุดท้ายสิ่งที่คนที่เป็น Toxic Productivity คาดหวังคือการทำงานให้มีประสิทธิภาพแต่อย่าลืมว่าการทำงานหนักไม่ได้ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพหรือทำให้เราประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะ
ระยะเวลาการทำงานไม่ได้เป็นตัวกำหนดคุณภาพของงาน

ให้ตัวเอง ‘ได้หยุดพัก’ บ้าง เพื่อรักษาใจ การได้หยุดพัก นอกจากจะทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายแล้วยังช่วยฮีลใจได้ด้วย ซึ่งดร.ซาฮาร์ ยูเซฟ นักประสาทวิทยา ได้พูดถึงแนวการพักผ่อนแบบ 3M ที่เหมาะสำหรับคนทำงานไว้ว่า
  • Macro break คือการกำหนดให้มีวันพักครึ่งหรือเต็มวันในช่วง 1 เดือนเพื่อไปเที่ยวบ้าง ไปเดินป่า เที่ยว One Day Trip กับคนรัก
  • Meso break คือการพักผ่อน 1-2 ชั่วโมงต่อวีคเพื่อทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ เช่น การออกกำลังกาย ว่ายน้ำ เล่นดนตรี 
  • Micro break คือการพักช่วงสั้นๆ ระหว่างวันแค่ไม่กี่นาที เพื่อยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ หรือทำสมาธิ

อย่ารู้สึกผิดกับการหยุดพักบ้าง เวลาลดน้ำหนักเรายังมีวัน Cheat Day เวลาที่เราทำงานหนักเราก็สามารถมีวันพักที่ไว้แค่นั่งหายใจทิ้งบ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย อย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยฮีลใจได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
    
-->