อย่าปล่อยให้ไวรัสโจมตีซ้ำๆ ในวันที่ภูมิ(คุ้มกัน)ตก

ไวรัสบางชนิด ไม่ได้หายไปจากร่างกายจริง ๆ หลังติดเชื้อครั้งแรก แต่ไป “แฝงตัว” (latent) อยู่ในเซลล์ของเราอย่างเงียบๆ พอร่างกายอ่อนแอ หรือมีสิ่งกระตุ้น ไวรัสนั้นจะถูกปลุกขึ้นมาและเริ่มแบ่งตัวใหม่ เกิดเป็นอาการหรือโรคซ้ำอีกครั้ง



ภูมิ(คุ้มกัน)ตก คืออะไร ‘ภูมิคุ้มกันตก’ ถูกใช้พูดถึงระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เซลล์ป้องกันเชื้อโรคทำงานลดลง การสร้างแอนติบอดี้ลดลง กลไกการซ่อมแซมร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้ง่าย หรือรุนแรงขึ้น โดยคำนี้สอดคล้องกับคำว่า immunocompromised / immunosuppressed ในทางการแพทย์ โดยภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้ชั่วคราวหรือเรื้อรัง ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับ อายุ โรค ยา หรือพฤติกรรมบางอย่างด้วย ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยๆ ในวันที่เราภูมิตกนั้นก็คือ เป็นหวัด หรือติดเชื้อบ่อย แผลหายช้า เหนื่อยง่าย หรือป่วยนานกว่าปกติ 

พฤติกรรมเสี่ยง ที่ทำภูมิ(คุ้มกัน)ตก ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ภูมิตกนั้น อาจเกิดได้ทั้งจากหลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นเกิดจากพฤติกรรมของเราเอง เช่น 
  • พักผ่อนไม่พอ / ไม่มีคุณภาพ มีงานวิจัยพบว่าการอดนอนรบกวนการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (hematopoietic stem cells) ที่เป็นต้นทางของเซลล์ภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ CDC หรือ Centers for Disease Control and Prevention ยังเปิดเผยข้อมูลว่า การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือไม่ได้คุณภาพ จะส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกายรวมถึงภูมิคุ้มกัน เช่น เม็ดเลือดขาวทำงานได้ไม่เต็มที่ การสร้างแอนติบอดีได้น้อยลง และเพิ่มการอักเสบภายในร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคเรื้อรังได้ง่ายขึ้น
  • มีความเครียดสูง / เรื้อรัง เวลาที่เราเครียด ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาตลอดเวลา ซึ่งจะไปกดการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทั้ง T cell และ NK cell ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดี เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีการวิจัยเปิดเผยว่าความเครียดเรื้อรังยังสัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันบกพร่องและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
  • ขาดสารอาหาร / โภชนาการไม่สมดุล วิตามินและแร่ธาตุมีส่วนสำคัญในการสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายขาดสารเหล่านี้ จะทำให้เม็ดเลือดขาวสร้างได้น้อยลง ระบบป้องกันร่างกายอ่อนแอ ส่วนใครที่หวังพึ่งการกินอาหารเสริมอย่างเดียวนั้น อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีงานวิจัยล่าสุดที่ออกมาเตือนว่า ‘อาหารเสริมอย่างเดียว’ อาจไม่เพียงพอ ควรหันมาใส่ใจกับการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นหลัก
  • ออกกำลังกายหักโหมเกินไป การออกกำลังกายสามารถช่วยเสริมภูมิได้ แต่ถ้าหักโหมเกินไปก็จะทำให้ร่างกายเกิดความเครียดและอักเสบได้เช่นกัน และเมื่อร่างกายเครียด ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นหวัดหรือป่วยได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนที่ออกกำลังกายหนักๆ แต่ก็กลับป่วยได้ง่ายมากเช่นกัน
  • สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ พฤติกรรมเสี่ยงที่ติดอันดับท็อปในการก่อโรค รู้มั้ยว่าควันบุหรี่นั้นมีสารพิษที่ทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นด่านแรกของภูมิคุ้มกันเสียหาย ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์นั้นก็ทำให้การทำงานของเม็ดเลือดขาวด้อยลง ร่างกายควบคุมการอักเสบได้ไม่ดี เสี่ยงติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียมากขึ้นได้นั่นเอง

นอกจากนี้อายุที่เพิ่มขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อง่ายขึ้นเช่นกัน เนื่องจากต่อมไทมัสฝ่อ ทำให้การสร้าง T cell ใหม่ลดลง เกิด inflammaging และการตอบสนองต่อเชื้อลดลง รวมถึงการใช้ยาบางชนิด หรือโรคบางอย่างก็ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันเช่นกัน เช่น กลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อย่าง HIV มะเร็ง หรือคนที่ต้องใช้ยากดภูมิ รังสีรักษา หรือคนที่มีการใช้สเตียรอยด์ในระยะยาวก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้เช่นกัน 

ไวรัสที่ซ่อนตัวอยู่ และถูกกระตุ้นในวันที่ ภูมิ(คุ้มกัน)ตก รู้มั้ยว่ามีไวรัสหลายชนิดที่หลังจากติดเชื้อครั้งแรกแล้วจะไม่หายขาดแต่แอบซ่อนตัว (latent) อยู่ในร่างกาย และรอจังหวะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีสิ่งกระตุ้นบางอย่างทำให้มันกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่ง ‘ภูมิคุ้มกันตก’ หรือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ปลุกไวรัสเหล่านี้ขึ้นมา

Herpes Family เป็นตระกูลไวรัสที่มีความพิเศษ (ในเชิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่) คือ ติดเชื้อครั้งเดียว แต่อยู่ในร่างกายตลอดไป แม้ว่าจะหายแล้วจากการเป็นครั้งแรก แต่ไวรัสก็จะ ‘หลบซ่อน’ อยู่ในเซลล์ของเรา อาจจะเป็นเซลล์ประสาทหรือเม็ดเลือดขาว ซึ่งเมื่อร่างกายของเราอ่อนแอ ไวรัสเหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดโรคซ้ำขึ้นมาอีกได้ โดยส่วนใหญ่แล้วโรคที่อยู่ในตระกูลนี้จะเป็นพวก 
  • HSV-1 (Herpes Simplex Virus type 1) ทำให้เกิดเริมที่ปาก หรือแผลพุพองที่ริมฝีปาก มักจะถูกกระตุ้นเวลาเครียด นอนดึก หรือโดนแดดจัดๆ 
  • HSV-2 (Herpes Simplex Virus type 2) ทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ มักมีอาการเจ็บ แสบ มีตุ่มใส ซึ่งถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • VZV (Varicella Zoster Virus) ติดเชื้อครั้งแรกทำให้เกิดอีสุกอีใสตอนวัยเด็ก เมื่อโตแล้วเกิดภูมิตกจะทำให้กลับมาเป็นงูสวัด มีผื่นแดงปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาทได้
  • EBV (Epstein-Barr Virus) ในการติดเชื้อครั้งแรกอาจทำให้เกิดเป็นไข้ต่อมน้ำเหลืองโต แต่ในระยะยาวเมื่อกลับมาอีกครั้งสามารถเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังและมะเร็งบางชนิดได้ เช่น มะเร็งโพรงหลังจมูก หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • CMV (Cytomegalovirus) แม้ว่าตัวนี้จะไม่ค่อยมีอาการในคนทั่วไป แต่เมื่อภูมิคุ้มกันตกจนต่ำมากๆ เช่น ในผู้ป่วย HIV หรือผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ อาจทำให้เกิดปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือจอตาอักเสบจนตาบอดได้

เห็นมั้ยล่ะ! ว่าแต่ละตัว ต่างก็ดูน่ากลัวทั้งนั้น เพราะฉะนั้นวิธีที่เราจะป้องกันตัวเองได้ คือการทำให้ภูมิคุ้นกันดีอยู่เสมอ เพื่อให้พร้อมปกป้องร่างกาย โดยอาจจะเริ่มจากง่ายๆ ที่เริ่มทำได้เดี๋ยวนี้เลย คือ นอนให้พอ เครียดให้น้อย และกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง ก็เท่ากับว่าเรามีเกราะป้องกันไวรัสและเชื้อโรคได้มากขึ้นนั่นเอง  

 
-->