วางแผนก่อนตายด้วย ‘Death Planning’ จัดการชีวิตให้เป็นระเบียบก่อนโบกมือลาโลก

ในสังคมที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจไม่เคยคิดถึงการวางแผนสำหรับช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่ ‘Death Planning’ หรือการวางแผนก่อนเสียชีวิตกำลังกลายเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจมากขึ้น 



โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ชีวิตหลังความตายของเราไม่ตกไปเป็นภาระของคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม เช่น การจัดการทรัพย์สิน การดูแลครอบครัว หรือการสื่อสารความปรารถนาสุดท้ายของเราด้วยก็ตาม ทั้งหมดนี้จึงถือว่าเป็นการเตรียมตัวตายที่ดีนั่นเอง

Death Planning คืออะไร?
Death Planning หรือ End of Life Planning เป็นการวางแผนและจัดการเรื่องราวสำคัญต่างๆ ในชีวิตก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไปอย่างถาวร แนวคิดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการคาดเดาอนาคตหรือการมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อความสะดวกสบายและลดความยุ่งยากให้กับครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาที่ยากลำบาก 
แน่นอนว่า การเริ่มต้นทำ Death Planning ไม่จำเป็นต้องทำตอนอายุเยอะแล้ว แต่ใครๆ ก็สามารถเริ่มทำได้เลย เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้ว่าเราจะไปสบายตอนไหน ยิ่งเริ่มทำเร็วเท่าไหร่ จึงถือว่าได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น

ทำไมต้องเตรียม Death Planning?
  • ลดภาระให้ครอบครัว: การจากไปอย่างกะทันหันอาจทำให้ครอบครัวต้องแบกรับภาระในการจัดการสิ่งต่างๆ เช่น ทรัพย์สิน หนี้สิน หรือเอกสารทางกฎหมาย การวางแผนล่วงหน้าจะช่วยให้คนที่อยู่ข้างหลังสามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้น
 
  • ป้องกันความขัดแย้ง: การจัดการทรัพย์สินหรือมรดกที่ไม่ชัดเจน อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวได้ การวางแผน Death Planning จึงช่วยกำหนดทุกอย่างให้ชัดเจนและโปร่งใส
 
  • สร้างความสบายใจ: การที่เราได้เตรียมทุกอย่างไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้เราสบายใจและสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องพะวงต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต

How to Plan for a Good Death? วางแผนก่อนตายให้โล่งใจล่วงหน้า
ปัญหาส่วนใหญ่ที่คนไม่ค่อยทำ Death Planning หรือ End of Life Planning กัน ก็คือ ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร? เริ่มต้นทำไม่เป็น? วันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับขั้นตอนกัน

1. ทำพินัยกรรม
การเขียนพินัยกรรมเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยกำหนดว่าใครจะได้รับทรัพย์สินหรือสิ่งของใดบ้างหลังจากที่จากไป ซึ่งเราควรระบุผู้จัดการมรดกและการใช้ทรัพย์สินให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความขัดแย้งในภายหลัง ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรและหลักฐานที่จับต้องได้

2. วางแผนจัดการทรัพย์สินและหนี้สิน
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถ ที่ดิน บัญชีเงินฝาก และการลงทุนต่างๆ รวมถึงหนี้สินที่ต้องชำระ ควรรวบรวมเก็บไว้ในที่เดียว เพื่อให้ครอบครัวสามารถดำเนินการต่อได้อย่างราบรื่น รวมถึงกำหนดผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary) สำหรับประกันชีวิต หรือบัญชีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ให้ชัดเจน แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ ควรแจ้งให้คนในครอบครัวทราบก่อนที่จะเสียชีวิต และห้ามจงใจปกปิดความลับเกี่ยวกับหนี้สินไว้คนเดียว

3. จัดการบัญชีดิจิทัล
บัญชีโซเชียลมีเดียหรือข้อมูลดิจิทัล เช่น อีเมล หรือคลังรูปภาพ ควรมีการวางแผนว่าจะจัดการอย่างไรหลังเสียชีวิต เช่น การกำหนดผู้ดูแลบัญชี การลบบัญชี หรือการเก็บรักษาข้อมูลสำคัญ

นอกจากนี้ ควรรวบรวมรหัสผ่านและรายละเอียดการเข้าถึงต่างๆ ลงในสมุดจดหรือแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย เพื่อให้ครอบครัวสามารถดำเนินการตามความต้องการของเราได้

4. เลือกการรักษาโรงพยาบาลที่ต้องการ 
เอกสารนี้จะช่วยระบุการรักษาพยาบาลที่เราต้องการหรือไม่ต้องการได้ ในกรณีที่เราไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เช่น การให้ยืดชีวิตด้วยเครื่องช่วยหายใจ การปั๊มหัวใจ หรือการให้อาหารทางสายยาง 
การจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจะช่วยให้แพทย์และครอบครัวเข้าใจความต้องการของเราได้อย่างชัดเจน และลดความกดดันในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

5. วางแผนงานศพของตัวเอง
เคยมีความคิดที่อยากออกแบบงานศพของตัวเองกันบ้าง? อยากได้โรงแบบไหน? อยากให้แขกทานอะไร? รวมถึงสถานที่จัดงานและการทำพิธี เพื่อให้คนในครอบครัวสามารถจัดการได้ตามความต้องการของเราได้อย่างแท้จริง
คิดในอีกแง่มุมก็น่าสนุกดีที่เราได้ลองออกแบบงานที่เป็นของเราจริงๆ สักครั้งในชีวิต เหมือนกับการรังสรรค์โชว์งานหนึ่งให้เกิดขึ้นจริง แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการคุมค่าใช้จ่ายด้วยนะ

6. เตรียมเอกสารที่จำเป็น
เก็บเอกสารสำคัญแล้วรวมไว้ให้อยู่ในที่เดียวกัน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน พินัยกรรม ทะเบียนสมรส เอกสารทรัพย์สิน หนังสือรับรองต่างๆ และข้อมูลการติดต่อของบุคคลสำคัญ เพื่อให้ค้นหาได้ง่ายเมื่อจำเป็น รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีธนาคาร ซึ่งควรเก็บไว้ในที่ปลอดภัยและควรแจ้งให้ครอบครัวทราบอย่างครบถ้วน

7. พูดคุยกับครอบครัว
ขั้นตอนสุดท้ายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเปิดใจพูดคุยถึงแผนการในเรื่องนี้กับครอบครัว เพื่อให้พวกเขาเข้าใจ และสามารถดำเนินการได้ตามความปรารถนาของเรานั่นเอง

แม้ Death Planning อาจดูเป็นเรื่องที่น่ากลัวหรือไม่อยากพูดถึง แต่ในความเป็นจริง มันคือการแสดงความรักและความรับผิดชอบต่อคนที่เรารัก การวางแผนล่วงหน้าไม่เพียงช่วยลดภาระและความกังวลให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง แต่ยังช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสบายใจ ดังนั้น อย่ารอช้าที่จะเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่วันนี้ เพื่อใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุขทุกโมเมนต์ในอนาคตนั่นเอง
-->