Hidden Hunger ภาวะขาดวิตามิน ที่คุณอาจเป็น...แต่ไม่เคยรู้ตัว

ก่อนหน้านี้เราก็เป็นเหมือนหลายๆ คนแหละที่คิดว่าเรื่องของ “วิตามิน” เป็นเรื่องตามกระแส เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจ แต่บอกเลยว่าหลังจากได้คุยกับแพทย์หญิงกอบกุลยา จึงประเสิรฐศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท 2 แล้ว ต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่เลยล่ะ




 
Hidden Hunger ภาวะเสี่ยงที่แฝงอยู่ทั่วโลก
คุณหมอเล่าว่าทาง WHO หรือองค์กรอนามัยโลกได้มีการศึกษามาตั้งแต่ปี 2014 พบว่าสิ่งที่แฝงอยู่ในอาหารการกินของเราทุกวันนี้ ทำให้เกิดภาวะ Hidden Hunger หรือภาวะของการขาดวิตามินและแร่ธาตุบางตัวที่สำคัญไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงถึงขั้นขาดสารอาหาร (Malnutrition) แต่ก็ทำให้เกิดความผิดปกติ และไม่สบายตัวได้ และสิ่งที่น่าตกใจก็คือมีประชากรโลกกว่า 2,000,000 ล้านคน ตกอยู่ในภาวะนี้ หรือพูดง่ายๆ คือ 1 ใน 3 ของคนที่เดินมาจะเป็น นับว่าเป็นตัวเลขที่เยอะมากเลยทีเดียว 
 
“สิ่งที่ทาง WHO ออกมาเตือนก็คือ ถ้าเรายังบริโภคอาหารแบบ Processed Food ที่ผ่านกรรมวิธีเยอะๆ อยู่ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้สูญเสียวิตามินไป ทำให้เกิดภาวะ Hidden Hunger เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรียกว่าเป็นภาวะทางโภชนาการที่ต้องให้ความสำคัญ มันไม่ใช่แค่การขาดวิตามิน มันคือเรื่องของสุขภาพ” 
 
ยิ่งปรุงแต่งมาก...ยิ่งกลายเป็นว่า “ขาด”
หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งเรามีกรรมวิธีใหม่ๆ ในการทำอาหารมากขึ้น ก็น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าเดิม แต่สิ่งที่รับรู้กลับกลายเป็นตรงกันข้าม “แต่เดิมเราทานอาหารที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีมากมาย ทำให้เราได้รับวิตามินเต็มๆ แต่ด้วยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา มีการเข้ามาของอาหารฟ้าสต์ฟู้ด ผ่านกรรมวิธีมากมาย ทำให้วิตามินลดลง เกิดภาวะ Hidden Hunger ทำให้เราต้องหาอย่างอื่นมาเพิ่มเติมในส่วนที่ขาด” ซึ่งถ้าพูดถึงอาหาร “คลีน” ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งเยอะ นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราเองก็ไม่ได้ทานได้ทุกมื้อ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องทานเสริมขึ้นมา 
 
“วิเคราะห์ระดับวิตามิน” เพื่อช่วยเติมเต็มบนความ “พอดี”
คุณหมออธิบายว่า “ความโชคดีของคนในปัจจุบันคือเราสามารถวัดเลเวลการขาดวิตามินได้ทางหลอดเลือด ซึ่งในสมัยก่อนเราไม่รู้ว่าอะไรขาด แต่ปัจจุบันเราสามารถตรวจว่าตัวไหนที่เราขาดบ้าง และขาดเท่าไหร่ ต้องแทนด้วยจำนวนเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมในแต่ละคน” ซึ่งในการตรวจนี้คุณหมอบอกว่ามันจะเจาะลึกมากกว่าแค่การตรวจสุขภาพธรรมดา และผลที่ได้จะสามารถบอกได้ถึงพฤติกรรมการทานอาหารด้วย เช่น คนที่ชอบทานผักเขียวมั๊ย หรือขาดผักแดง คนนี้เกลียดมะเขือเทศ หรือคนไหนชอบทานฟักทองหรือแครอทมากๆ ก็จะพบเลยว่าค่าเบต้าแคโรทีนสูงมาก ถ้าใครทานผักเขียวเยอะ ก็จะมีค่าอัลฟาแคโรทีนสูง 
 
“Customized Vitamins” สิ่งที่ตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด
และในเมื่อคนเรามีสิ่งที่ขาดไม่เท่ากัน ด้วยศาสตร์ของทางเวชศาสตร์ชะลอวัยที่พยายามตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุด เช่น ถ้าเราขาดแค่ 500 แต่เติมไป 1,000 มันก็อาจจะมากเกินไป ดังนั้นเพื่อให้แต่ละคนได้รับวิตามินและแร่ธาตุในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยเสริมสิ่งที่ขาดอย่างพอดี “บางครั้งการทานอาหารเพื่อทดแทนได้เยอะก็เป็นสิ่งที่ดี หมอก็อาจจะเสริมให้ในปริมาณที่ไม่เยอะมาก แต่ด้วยส่วนมากแล้วคนเรามักจะกินอาหารด้วยแพทเทิร์นเดิมๆ นี่เลยเป็นเหมือนอีกหนึ่งตัวช่วย แต่หมอก็จะแนะนำอยู่ตลอดว่า จริงๆ แล้วเราต้องช่วยกันคนละครึ่ง ต้องทานเองด้วย ที่เหลือถ้าไม่ไหวจริงๆ หมอจะจูนด้วยวิตามินให้ จึงสำคัญมากที่เราต้องทานอาหารที่ดี และทานวิตามินให้ครบ”
 
ถ้าอาหารสำคัญ...วิตามินก็สำคัญ
ใครที่เคยเมินใส่วิตามิน งานนี้คงต้องหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง “ถ้าเรามองว่าอาหารสำคัญ เราก็จะมองว่าวิตามินสำคัญ เพราะอย่างที่หมอบอกว่ามนุษย์เรายังไม่รู้ว่าทำไมถึงป่วยเป็นโรค จนกระทั่งเราขาดบางอย่าง อย่างคนล่องเรือไม่ได้กินผลไม้ พอได้ทานผลไม้ก็รู้สึกสดชื่นขึ้น ลักผิดลักเปิดที่เคยเป็นก็หาย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือถ้าเรามองว่าอาหารคือสิ่งสำคัญที่ต้องกินทุกวัน วิตามินก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าในปัจจุบันเราสูญเสียวิตามินไปกับอาหารที่ไม่ดี อาหารที่แย่ เพราะฉะนั้นตัวเลือกอีกอย่างที่จะทำให้คุณภาพของชีวิตมีความเฮลธ์ตี้ จะต้องหันมาดูแลตัวเอง เสริมวิตามินให้มากขึ้น เริ่มจากอาหารต้องดีก่อน และถ้าอยากรู้ว่าข้างในดีหรือยังก็ต้องพึ่งวิธีทางวิทยาศาสตร์ว่าแล้วจริงๆ เราควรกินอะไร หรือควรลดอะไรบ้าง แพทเทิร์นอาหารเป็นยังไง ซึ่งระดับวิตามินจะเป็นตัวบอกที่ดีที่สุด ว่าแบบไหนที่เหมาะสำหรับคุณ”
 
5 กลุ่มวิตามินจำเป็นที่แนะนำสำหรับ “มนุษย์บ้างาน”
  • Vitamin A, C, E: พวกกลุ่ม Antioxidants เป็นตัวพื้นฐานที่ต้านอนุมูลอิสระที่ทุกคนต้องทาน 
  • Coenzyme Q10: ช่วยจูนการทำงานของกลไกในร่างกาย เป็นตัวสำคัญในการสร้างพลังงาน และช่วยในการทำงานของหลายๆ เซลล์ที่สำคัญ
  • Lecitin: ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดได้ เหมาะกับคนที่ใช้สมองเยอะ ช่วยให้เส้นประสาทการทำงาน การส่งสารสื่อประสาทคมขึ้น
  • Vitamin D: เป็นตัวสำคัญในการนำแคลเซียมเข้ากระดูก ทำให้อารมณ์ดี และช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันเวลาที่เป็นหวัด
  • ถั่งเช่า: เพิ่มความสดชื่น ช่วยเรื่องของต่อมหมวกไตล้า หรืออาการไม่อยากตื่นนอนตอนเช้า รู้สึกไม่สดชื่น กลางคืนไม่ง่วง 
 
 
 
-->