เค้นให้รู้จริงจาก Expert สรุปแล้วกาแฟ…ควรดื่มต่อหรือ “พอแค่นี้”

ไหนๆ ใครเป็น Coffee Lover เหมือนเราบ้าง? รู้มั้ยว่านอกจากกาแฟจะเป็นตัวช่วยให้สมองคุณตื่นตัวกลับมาแอคทีฟหายง่วงแล้ว มันยังแฝงด้วยคุณประโยชน์ดีดีไว้อีกมากมาย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องราวที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อนจากผู้เชี่ยวชาญถึง 2 ท่าน ได้แก่ “คุณพลอยศิริ ศรีทอง” และ “คุณวีนา วันหมัด” นักกำหนดอาหารของโรงพยาบาลพญาไทนวมินทร์ที่พร้อมมาเผยเคล็ดลับดื่มกาแฟยังไงให้ได้สุขภาพ และได้รับคุณประโยชน์จากตัวกาแฟจริงๆ  

รู้มั้ย? ความจริงแล้วประโยชน์ของกาแฟนั้นมาจาก “เมล็ดกาแฟ” นะ

นักกำหนดอาหารทั้งสองท่านบอกว่า ถ้าทานกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมได้ ซึ่งจะอยู่ที่ 300 มิลลิกรัมต่อวัน คุณประโยชน์ที่ดีของกาแฟก็จะส่งผลดีต่อร่างกายคุณ โดยในกาแฟนั้นจะมีสารต้านอนูมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ ตรงกับข้อมูลของ รศ.ดร.ชัยชาญ แสงดี หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ที่พูดถึงว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า จริงๆ แล้วในเมล็ดกาแฟสดที่ไม่ผ่านการคั่วจะมีสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่แท้จริง ชื่อ “กรดคลอโรจินิก” หรือ Chlorogenic acid (CGA)ที่ร่างกายของเรานั้นดูดซึมได้ดี…แต่พอกาแฟถูกนำไปคั่ว กรดนี้ก็จะสลายตัวไป แต่ถึงยังไง คุณค่าในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระก็ยังมีอยู่ เพราะระหว่างคั่วจะมีการรวมตัวกันของกรดคลอโรจินิก คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน และโปรตีนในเมล็ดกาแฟ โดยพวกมันจะรวมตัวกันจนกลายเป็นสารใหม่ที่ชื่อว่า “เมลานอยดินส์” หรือ Melanoidins ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพียงแต่คุณภาพจะดีไม่เท่ากับกรดคลอโรจินิกนั่นเอง

ทำไม…กาแฟอาจ “ไม่เวิร์ค” กับทุกคน?  


ข้อมูลจากคุณพลอยทำให้เราทราบเพิ่มเติมว่า ปฏิกิริยาของกาแฟในร่างกายแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรหัสพันธุกรรม หรือ DNA “สำหรับบางคนที่ดื่มกาแฟเข้าไปแล้วมีการตอบสนองด้วยความรู้สึกใจสั่น  นั่นอาจเป็นเพราะกาแฟถูกขับออกจากร่างกายในรูปแบบของปัสสาวะได้ช้า คาเฟอีนเลยยังคงตกค้างในร่างกายอยู่ ซึ่งเราจะเรียกการตอบสนองนี้ว่า Slow Metabolism หรือการที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ช้า…

 …ส่วนบางคนที่ดื่มแล้วยังรู้สึกง่วงเหมือนเดิม ไม่เกิดความรู้สึกกระปี้กระเปร่า นั่นก็เป็นเพราะร่างกายเขาขับกาแฟ หรือคาเฟอีนออกทางปัสสาวะได้ไวกว่า ทำให้ดื่มแล้วความรู้สึกกระปรี้กระเปร่านั้นเกิดขึ้นเร็วมาก สุดท้ายเขาก็จะกลับมารู้สึกง่วงเหมือนเดิม ”   

ส่วนใครที่สงสัยว่า เมื่อดื่มกาแฟเข้าไปแล้ว…มันจะไปสร้างกลไกอะไรให้กับร่างกายของเราบ้าง คุณพลอยตอบว่า เมื่อเราดื่มกาแฟเข้าไป สารคาเฟอีน (caffeine) จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองจนทำให้รู้สึกตื่นตัวและสดชื่น นั่นเป็นเพราะว่ามันได้เข้าไปยับยั้งหรือบล๊อกสารในสมองที่ชื่อ อะดีโนซีน (Adenosine) และสารที่ร่างกายสร้างขึ้นอย่างเมลาโทนิน (Melatonin) ทั้งคู่เป็นสารที่ทำให้คนเรารู้สึกง่วงนอน ความแตกต่างของทั้งสองคือ สารเมลาโทนินจะเชื่อมโยงกับนาฬิกาในระบบร่างกาย (BODY CLOCK) ซึ่งปกติจะปรับไปตามพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ถ้าคุณเข้านอน 2 ทุ่มทุกวัน อาการง่วงจะเริ่มช่วงนั้น ขณะที่อะดีโนซีนนั้นจะหลั่งอยู่ตลอดเวลาที่เราตื่น แล้วจะค่อยๆ เตือนคุณว่า เหนื่อยแล้วควรพักผ่อนและนอนได้ แต่พอทั้งคู่โดนบล๊อกการทำงานโดยคาเฟอีนสมองและร่างกายเลยถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว คุณเลยไม่รู้สึกง่วงยังไงล่ะ 

ใครบ้าง…ไม่ควรดื่มกาแฟ?

จากการได้พูดคุยกับนักกำหนดอาหารทั้งสองท่าน ทำให้เราสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟได้ดังนี้
 
1. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง  

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ เมื่อดื่มกาแฟเข้าไป หัวใจอาจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้นและเสี่ยงที่จะเต้นเร็วมากขึ้นไปด้วย ทั้งนี้เมื่อเลือดถูกสูบฉีดเร็ว ก็จะเป็นเหตุให้ความดันในเลือดสูงขึ้นตาม ผู้ป่วยอาจเสี่ยงอันตรายได้ 
 
2. เด็ก 
 
เด็กในช่วงวัยเรียน ไม่ว่าจะมัธยมต้นหรือมัธยมปลายก็ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพ และไปยับยั้งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตที่หลั่งขณะหลับ ซึ่งถ้าหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็อาจไปทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่
 
3 “หญิงตั้งครรภ์” หรือ “คุณแม่ที่กำลังให้นมลูก”
 
งานวิจัยจากหลายสถาบันเห็นตรงกันว่า การดื่มการแฟขณะตั้งครรภ์นั้นไม่ควรอย่างยิ่งเพราะแม่อาจเสี่ยงมีภาวะแท้งได้ รวมถึงคุณแม่ที่กำลังให้นมลูกก็เช่นกัน เพราะสารคาเฟอีนสามารถส่งต่อผ่านทางน้ำนมของคุณแม่ได้ มีผลทำให้ลูกน้อยนอนไม่หลับงอแงทั้งวัน  
 
4 ผู้สูงอายุ 
 
กาแฟถ้าดื่มในปริมาณมากก็จะทำให้ผู้สูงอายุต้องปัสสาวะบ่อยครั้ง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินและเกลือแร่จากการปัสสาวะบ่อยได้ และอาจทำให้การดูดซึมแคลเซียมในร่างกายนั้นไม่ดีเท่าที่ควร 
 
5. ผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อน
 
เนื่องจากคาเฟอีนอาจจะไปทำให้เกิดการหลั่งของกรดออกมามากขึ้น ทำให้ผู้ที่มีภาวะนี้มีอาการแย่ลงกว่าเดิม 
 

ดื่มกาแฟยังไงให้ได้ “สุขภาพ”

1.1 ต้องดื่มให้ถูกวิธี

โดยปกติแล้ว ถ้าคุณไปซื้อกาแฟตามร้านต่างๆ แล้วออร์เดอร์กาแฟหวานมัน 1 แก้ว ปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายได้รับก็จะอยู่ที่ 6-12 ช้อนชา ซึ่งทางคุณวีนาบอกเราว่า จริงๆ แล้วน้ำตาลควรจะเข้าสู่ร่างกายเราไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน  หากเกินกว่านี้ก็อาจเป็นสาเหตุให้ร่างกายคุณมีระดับน้ำตาลที่มากเกินเกณฑ์ได้  

“ภายในหนึ่งวัน ทุกคนควรจำกัดการดื่มกาแฟให้กับตัวเอง  เพราะกาแฟ 1 แก้ว เท่ากับโควต้าของน้ำตาลและสารคาเฟอีนที่เพียงพอต่อร่างกายแล้ว  เราไม่ควรทานอะไรที่มีน้ำตาลเพิ่มอีก เช่น ของหวาน น้ำอัดลม หรือขนมปัง”
-วีนา วันหมัด (นักกำหนดอาหาร )-

 
1.2 ดื่มกาแฟตอนไหนให้ผลดีต่อร่างกายเรามากที่สุด?

 ช่วงเวลาในการดื่มให้ได้ผลดีที่สุดต่อร่างกายนั้น คุณพลอยบอกว่า ควรเป็นช่วงเวลาเช้า เพราะหากคุณเลือกดื่มช่วงบ่ายๆ ร่างกายคุณอาจต้องใช้เวลาขับสารคาเฟอีนออกไปอีก 6 ชม. หลังดื่มเสร็จ  ซึ่งอาจจะส่งผลให้นอนไม่หลับและอ่อนเพลียได้ ที่สำคัญ! คุณอาจเสี่ยงแก่ก่อนวัยด้วยนะ

1.3 อยากได้คุณค่าจากกาแฟแบบเต็มๆ ต้อง “Black Coffee” 

เพราะในกาแฟดำนั้นมีสารคาเฟอีนที่เพียงพออยู่แล้ว โดยจะอยู่ที่ประมาณ 60 มิลลิกรัมของกาแฟร้อนแก้วเล็กขนาด 8 ออนซ์ และกาแฟเย็นไซส์มีเดียมขนาด 16 ออนซ์ ทั้งนี้ปริมาณสารคาเฟอีนจะมีมากขึ้นตามลำดับขึ้นอยู่กับขนาดแก้ว  เมื่อคุณดื่มเข้าไป ก็จะส่งผลให้คุณรู้สึกสดชื่น ตื่นตัวได้จริง ที่สำคัญ! โอกาสที่จะทำให้อ้วนก็น้อยกว่ากาแฟแบบอื่นๆ ด้วย หากใครอยากลอง เราขอแนะนำให้เริ่มดื่มแบบใส่น้ำตาลน้อยๆ ป้องกันรสขมซะก่อน และถ้าจะให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด เราขอแนะนำให้ดื่มแบบเพียวๆ ไปเลยดีกว่า

  ส่วนกรณีคนที่รู้สึกเสพติดกาแฟมากๆ คุณวีนาบอกว่า “1 วันไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้วนะ” เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด (Coronary heart disease) และหากใครที่อยากเลิกเสพติดกาแฟ วิธีที่เราอยากแนะนำคือ ให้ค่อยๆ ปรับพฤติกรรมก่อน อย่าเพิ่งหักดิบเลิกดื่มทันที เช่น ค่อยๆ เปลี่ยนจากกาแฟไปเป็นชาเย็นหรือโกโก้แทน

1.4 Take Note! อยากเริ่มดูแลตัวเอง ควรเริ่มจาก “สั่งหวานน้อย”

ใครที่อยากเริ่มดูแลตัวเองจริงจัง ก็ควรเริ่มจากการสั่งกาแฟต่างๆ แบบหวานน้อยหรือสั่งแบบเปอร์เซนต์ความหวานน้อยๆ ก่อนจะดีที่สุด  คุณวีนาบอกว่า “ถ้าใครชอบดื่มแบบใส่นม ก็ควรสั่งเป็นนมไขมันต่ำเพื่อลดพลังงานสะสมให้กับร่างกาย  หรืออาจสั่งเป็นนมแอลมอนด์ก็ได้ เพราะมันอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ ให้พลังงานสะสมในเกณฑ์ที่ต่ำ” 

1.5 สูตรกาแฟที่ดี อาจมาจากการคิดค้นด้วย “ตัวคุณ”
 

วิธีการเลือกสูตรกาแฟที่ดีที่สุดให้กับตัวคุณ ก็คือการใช้เครื่องชงกาแฟแล้วทำทานเองนี่ล่ะ! คุณวีนาเธอใช้วิธีนี้ครีเอทสูตรที่ตัวเองชอบได้อย่างสบายใจ มันทำให้เธอสามารถกำหนดปริมาณของส่วนผสมต่างๆ ได้แบบไม่ต้องวอรี่ว่าจะอ้วน  เช่น ใส่ปริมาณของน้ำตาลลงไปไม่เกิน 6 ช้อนชานั่นเอง  
ส่วนถ้าอยากดื่มกาแฟให้ได้สุขภาพแบบเต็มๆ  เธอเองก็ได้บอกไปข้างต้นแล้วว่า “ควรดื่มเป็นกาแฟดำจะดีที่สุด” 

Warning!! เมื่อรู้สึกแบบนี้ควร  “STOP DRINKING” ทันที

อาการแพ้กาแฟจะมีส่วนคล้ายกับอาการแพ้อาหารทั่วไป ( Allergic Reaction)  เช่น มีผื่นแดง ลมพิษ ระคายเคืองตามปากและลิ้น ใจสั่น เหงื่อไหล รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ในกรณีที่แพ้มากๆ (Anaphylaxis) คุณก็อาจจะมีอาการบวมเพิ่มมากขึ้นที่บริเวณตาและใบหน้า รวมถึงอาจรู้สึกหายใจติดขัด ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ถือเป็นอาการที่คุณเองต้องสังเกตให้ได้  

ทางคุณพลอย เธอเล่าให้เราฟังว่า ตนก็เคยมีอาการแบบนี้เช่นกัน ซึ่งคำแนะนำที่เธออยากบอกคุณคือ หากกรณีข้างต้นเกิดขึ้น ทางแก้ที่ควรรีบทำทันทีคือ “หยุดดื่มกาแฟ และให้รีบดื่มน้ำตามมากๆ”  เพราะการดื่มน้ำในปริมาณมากจะช่วยให้คาเฟอีนถูกขับออกทางปัสสาวะ ปริมาณของคาเฟอีนในร่างกายคุณนั้นก็จะลดลงไปด้วย

“กาแฟแบบ DECAF”   VS  “กาแฟแบบมีคาเฟอีน”

พูดให้เข้าใจง่ายๆ กาแฟแบบ Decaf  (Decaffeinated Coffee) คือกาแฟที่จะยังมีคาเฟอีนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย โดยจะเป็นกาแฟที่สกัดเอาสารคาเฟอีนออกไปให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนใหญ่คนที่ชอบดื่มกาแฟประเภทนี้ จะเป็นคนที่มีอาการใจสั่น เป็นหญิงตั้งครรภ์หรือคุณแม่ที่กำลังให้นมลูกอยู่ รวมถึงเป็นคนที่มีโรคประจำตัวอย่าง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงและโรคระบบทางเดินอาหารด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็คือคอกาแฟที่ยังต้องการดื่มกาแฟอยู่เหมือนเดิม   
 และถ้าพูดถึงด้านคุณค่าของกาแฟแบบ Decaf แล้วล่ะก็ มันก็ยังคงมีอยู่ เนื่องจากสารคาเฟอีนนั้นยังไม่ได้สูญสลายไปทั้งหมด ทำให้กาแฟประเภทนี้ยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เหมือนกับกาแฟทั่วไป เพียงแต่ปริมาณน้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ เช่น จากปกติ 180 มิลลิกรัมต่อแก้วก็จะได้แค่ 27 มิลลิกรัม หรือ 0.00095 ออนซ์ (อ้างอิงข้อมูลวิจัยจาก NIH และ Healthline)  

กาแฟอราบีก้า (Arabica) VS กาแฟโรบัสต้า (Robusta)

ไม่พูดถึงไม่ได้ สำหรับกาแฟ  2 สายพันธุ์ ที่ในบ้านเรานั้นจัดว่าเป็นที่นิยมสุดๆ ใครที่อยากผันตัวมาเป็น Coffee Lover เหมือนเราล่ะ ควรเริ่มจากการลองดื่มกาแฟทั้งสองสายพันธุ์นี้ ความแตกต่างหลักๆ ของทั้งคู่ไม่ได้อยู่แค่ที่สายพันธุ์เท่านั้น แต่มันคือ… 

1.1 ความเข้มข้นของคาเฟอีน=>  ถ้าพูดถึงความเข้มข้นของสารคาเฟอีน ก็ต้องยกให้เป็นของทางโรบัสต้าเขาเลย  เพราะปริมาณของคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้จะสูง ที่สำคัญข้อมูลจากทางเว็บไซต์ theroasterspack.com ยังบอกด้วยว่า ปริมาณของกรด Chlorogenic acid  หรือสารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดกาแฟพันธุ์นี้นั้นอยู่ที่ 7-10 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อราบีก้านั้นมีแค่  5.5-8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
 
1.2 รสชาติ=> อราบีก้าจะให้ความหวานละมุนลิ้นกว่า มีน้ำตาลสูงกว่าโรบัสต้า แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะหวานมากขนาดนั้นนะ ส่วนโรบัสต้ารสชาติจะค่อนข้างเข้มข้นและมีปริมาณน้ำตาลหรือความหวานที่น้อยกว่าเยอะเลย 

กาแฟใส่ “นมข้นหวาน” “นมสด” “ครีมเทียม”  “น้ำผึ้ง” และ “ไซรัป”  แบบไหนดีกว่ากัน?  


ใครที่เข้าใจว่าการเติมน้ำผึ้ง น้ำตาล นมข้นหวาน หรือวิปครีมลงไปในกาแฟโปรดแล้วไม่เป็นไร ต้องบอกเลยว่า   “คุณคิดผิด”  เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มพลังงานที่จัดเป็นพลังงานเกินแก่ร่างกาย  คุณวีนาบอกกับเราว่า นี่อาจเป็นสาเหตุให้บางคนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ ส่วนกรณีที่คุณสงสัยว่า สรุปแล้ว…จากช๊อยส์ข้างต้นเติมอะไรลงไปในกาแฟแล้วจะดีที่สุด? เธอก็แนะนำให้เติมเป็นนมสดจะดีที่สุดเพราะว่าปริมาณน้ำตาลไม่มากเท่ากับตัวเลือกอื่น ส่วนใครที่อยากเติมน้ำผึ้งก็ให้เติมในปริมาณที่น้อย เพราะถึงแม้ว่าในน้ำผึ้งจะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ แต่มันก็มีส่วนประกอบของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวอยู่ เช่น กลูโคสและฟรักโทส  หากคุณเติมหรือใส่มันลงไปในกาแฟมากเกิน ร่างกายก็จะได้รับพลังงานที่มากเกินความต้องการไปด้วย

และนี่! คือสิ่งที่หลายคนมัก “เข้าใจผิด” ว่าเป็น “ข้อดีของกาแฟ”  
1. ช่วยให้ไม่หิว ลดความอ้วนได้ 
 
จริงๆ แล้วในตัวสารคาเฟอีนของกาแฟนั้นไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้ เพียงแต่กาแฟนั้นคือ “น้ำ” เมื่อดื่มเข้าไปในปริมาณที่มาก ก็จะทำให้รู้สึกอิ่มไปโดยปริยาย เหมือนกับการดื่มน้ำนั่นเอง ซึ่งพอเป็นแบบนี้ บางคนเลยไม่รู้สึกหิว เอาเป็นว่าสรุปแล้ว กาแฟไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องสำหรับคนที่อยากไดเอ็ตหรืออยากทานอาหารให้น้อยลงนะ  
 
2. ใช้แทนยาระบายได้  
 
ต้องบอกว่า ใครที่เข้าใจแบบนี้คือ “ไม่ถูกต้อง” เพราะนี่เป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกายต่อกาแฟเท่านั้น งานวิจัยจาก NIH (National Center of Biological Information) เรื่อง Effects of caffeine on anorectal manometric findings  บอกไว้ว่า เมื่อเราดื่มกาแฟเข้าไปจะเกิดแรงดันที่บริเวณหูรูดทวารหนัก และมันยังไปกระตุ้นให้ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เกิดการบีบหรือหดตัว(Contraction) ขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดการขับถ่ายที่ไม่ปกติตามมา เช่น อาการท้องร่วงนั่นเอง
ส่วนข้อมูลจาก IFFGD หรือ The International Foundation for Functional Gastrointestinal Disorders และเว็บไซต์ healthline.com ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การที่คนเราถ่ายหนักหลังดื่มกาแฟนั้นอาจเป็นเพราะร่างกายได้รับสารคาเฟอีนมากเกินไป ที่สำคัญในกาแฟยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นการขับถ่ายได้ เช่น นมและครีม  
 
 และเพื่อเป็นการไขข้อสงสัยว่า ทำไม? กาแฟถึงไม่ใช่ยาถ่าย (Laxative Effect)  นี่คือข้อมูลที่เราค้นพบเพิ่มเติม 
งานวิจัยเมื่อปี 2014 หัวข้อ “No Evidence of Dehydration with Moderate Daily Coffee Intake” วิจัยโดย Killer SC, Blannin AK, Jeukendrup AE พบว่า จากการศึกษาปฏิกิริยาของกลุ่มทดลองหรืออาสาสมัครที่ดื่มกาแฟเกินความเหมาะสมนั้น ทีมวิจัยเขาพบว่าคาเฟอีนในกาแฟจะไปขับน้ำออกจากร่างกายของคนกลุ่มนี้ ซึ่งก็เป็นสาเหตุของการปัสสาวะบ่อยๆ โดยจะเรียกปฏิกิริยาหรือการตอบสนองนี้ว่า “ Diuretic Effects” ทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายของพวกเขานั้นลดลง นอกจากนี้เรายังพบว่านี่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ได้ ซึ่งก็เป็นเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกตามมานั่นเอง

เป็นยังไงกันบ้าง? เห็นมั้ยว่าการดื่มกาแฟให้ถูกที่ ถูกเวลานั้นสามารถสร้างคุณประโยชน์ต่อบอดี้เราได้จริงๆ  และถึงแม้จะมีข้อห้ามและเอฟเฟคที่อาจเป็นอันตรายสำหรับบางคน ปัจจุบันเราก็ยังมีกาแฟ Decaf  เพิ่มมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะ รู้อย่างงี้แล้ว ทุกเช้า ถ้ารู้สึกง่วง ก็รีบชงกาแฟทานหรือออร์เดอร์กาแฟหวานน้อยมาดื่มให้กระปี้กระเปร่ากันเถอะ 



 
 

 
-->