รีวิวผ่าตัดรักษาไซนัสอักเสบ บอกเลย... ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด



ไหนใครอากาศเปลี่ยนทีไรเป็นอันต้องฮัดเช้ยทุกที ตื่นเช้าอาบน้ำก็ต้องมีหายใจฟึดฟัดตลอด จมูกไวกับสภาพอากาศจนบางครั้งก็เหนื่อยใจ จุดเริ่มต้นของเราก็มาจากอาการที่คล้ายกับทุกคนนี่แหละ “เป็นภูมิแพ้” ไม่ใช่แค่แพ้กรุงเทพ แต่แพ้ทุกที่ แพ้หนาว แพ้ร้อน แพ้ฝน แพ้ฝุ่น แพ้ขนสัตว์ ซึ่งเป็นมานานมากก็ตั้งแต่จำความได้เราก็มีอาการแบบนี้มาโดยตลอด เรียกว่าเติบโตมาด้วยกันก็ว่าได้



จนวันหนึ่งภูมิแพ้เพื่อนรักกลับดูกำเริบกว่าทุกที ครั้งนี้เรียกได้ว่า “ยาแก้แพ้ก็เอาไม่อยู่” หายใจไม่ออก และก็หายใจไม่เข้า ต้องใช้หายใจเอาทางปาก น้ำมูกก็ไหล เสียงพูดก็อู้อี้ขึ้นจมูกไปหมด จนตัดสินใจไปหาหมอ กินยาไปร่วม 2 สัปดาห์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น สุดท้ายหมอส่งเอกซเรย์พบว่าในโพรงไซนัสข้างซ้ายเต็มไปด้วยของเหลวจนเต็มพื้นที่ และก็เป็นครั้งแรกที่เราถูกวินิจฉัยว่าเป็น “ไซนัสอักเสบ” เราก็กินยารักษาตามอาการจนผ่านไปเดือนกว่าๆ ก็เหมือนว่าอาการจะบรรเทาลง แต่ภูมิแพ้เพื่อนรักก็ยังไม่จากไปไหน มาแวะเวียนทักทายกันอยู่สม่ำเสมอ จนเวลาผ่านไปร่วม 3 ปีก็มีอาการที่ทำให้เรารู้สึกว่าคงถึงเวลาที่เราต้องไปหาหมออีกครั้ง นั่นก็คือ เราได้กลิ่นเหม็นในจมูกของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงไหนที่มีน้ำมูกสีเขียว กลิ่นจะรุนแรงจนทนไม่ไหว ต้องลุกไปสั่งน้ำมูกแทบทุก 5 นาที และเรายังรู้สึกว่ามีน้ำไหลลงคอตลอดเวลา เหมือนเราดื่มน้ำทั้งๆ ที่ไม่ได้ดื่ม พาลให้รู้สึกรำคาญเหมือนมีเสมหะในคอตลอด ยังไม่พอยังปวดตุบๆ ที่โหนกแก้มข้างซ้าย เราสันนิษฐานว่าใช่! มันต้องกลับมาแน่นอน

ครั้งนี้เราตัดสินใจไป รพ.พญาไท 3 และได้ทำการรักษากับ นพ.อุทัย ประภามณฑล แค่ซักประวัติไม่กี่นาที และส่องดูโพรงจมูกเบื้องต้น คุณหมอก็ขอทำการส่องกล้องตรวจหลังโพรงจมูกทันที เพราะจมูกเราบวมมาก ซึ่งก็จะมีการใส่ผ้าก็อซชุบยาชาเข้าไปในจมูกทั้ง 2 ข้าง ระหว่างนั้นก็ให้หายใจทางปากเพื่อรอยาออกฤทธิ์ประมาณ 10 นาที และก็พบว่าจมูกของเราโดยเฉพาะข้างซ้ายบวมมาก และมีหนองไหลเป็นสายลงคออย่างเห็นได้ชัด ก็เลยส่งทำการตรวจเจาะลึกด้วย CT SCAN อีกครั้ง และผลก็เป็นดังภาพ



สีขาวทึบๆ ที่เห็นจากภาพนี่แหล่ะ คือหนองที่คั่งอยู่ในโพรงไซนัสของเรา (โพรงไซนัสที่ปกติจะต้องเป็นสีดำ แปลว่ามีแต่อากาศ ไม่มีของเหลวมาเจือปน) และผลจากการ CT ยังทำให้เห็นได้ชัดว่า รูระบายของเหลวจากโพรงไซนัสตามธรรมชาติของเรามันอุดตันเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเคสแบบนี้การทานยาก็เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เป็นแค่การบรรเทาอาการชั่วคราว หยุดยาเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะมีอาการกำเริบขึ้นมาได้ทันที เคสแบบนี้คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัด แต่ก็ให้ยามาลองทาน ติดตามอาการ ปรับยาให้แรงขึ้น และมาติดตามอาการอีกครั้ง รวมประมาณ 3 สัปดาห์ สุดท้ายแล้วอาการก็ยังไม่ทุเลาลงเท่าที่ควร ก็เลยตัดสินใจเข้าทำการรักษาด้วยการ “ผ่าตัดส่องกล้อง” ซึ่งของเราคุณหมอแนะนำให้ใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้เนื้อจมูกที่บวมไปพร้อมๆ กันเลย

ก่อนผ่าตัด 2 วันก็ไปทำการตรวจ RT-PCR ซึ่งตรงนี้เค้ารวมอยู่ในราคาแพ็กเกจผ่าตัดอยู่แล้ว ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในวันผ่าตัดก็ต้องงดน้ำงดอาหารก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง พอเราไปถึง รพ. ก็ถูกส่งไปเอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเปิดเส้นเจาะเลือด ให้น้ำเกลือ ที่สำคัญคือต้องทำการตัดขนจมูกก่อน โดยคุณพยาบาลจะเป็นผู้จัดการให้ เราเผลอกลั้นหายใจหลายครั้ง กลัวขนจมูกลงคอ แต่จริงๆ แล้วหายใจได้ปกติเลยนะ คุณพยาบาลเค้ามีการใช้ขี้ผึ้งเคลือบกรรไกรไว้ก่อนอยู่แล้ว ขนไม่มีฟุ้งกระจายแน่นอน เสร็จในขั้นตอนการเตรียมตัว ก็จะได้พบวิสัญญีแพทย์ พบคุณหมออุทัย และก็ขึ้นห้องพักเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ



ก่อนเวลาผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมง คุณพยาบาลก็จะมาแจ้งให้แปรงฟันให้สะอาด และนำยานอนหลับ ยาละลายเสมหะ และยาแก้ปวดมาให้ทาน แล้วเวลาแห่งความตื่นเต้นก็มาถึง นี่เป็นการเข้าห้องผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดทาง แต่พอเข้าไปข้างใน… ประทับใจตรงที่ห้องผ่าตัดของที่นี่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ดูสะอาดตา ทุกอย่างดูใหม่ ดูทันสมัย และแอร์เย็นมาก เนื่องจากเราทำการผ่าตัดบริเวณใบหน้า หลังติดอุปกรณ์ต่างๆ ตามร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เลยห่มผ้าให้เป็นอย่างดีเหมือนซูชิโรลที่วางอยู่บนเตียงผ่าตัด สักพักก็มีการนำสายออกซิเจนมาสวมให้ ได้กลิ่นคล้ายแก๊สอ่อนๆ แวบเดียว ก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย (อ่อ! ของเราคุณหมอแจ้งไว้ก่อนแล้วว่าจะเป็นการให้ยานอนหลับทางสายน้ำเกลือ ร่วมกับการดมยา)

ได้สติแบบสะลึมสะลือขึ้นมาอีกทีคุณหมอก็เดินมาแจ้งว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรน่ากังวล และคุณพยาบาลก็มาถามต่อว่าปวดแผลไหม ซึ่งของเราไม่ปวดนะ แต่ง่วงมาก คุณพยาบาลก็ให้นอนพักต่อ ตื่นรู้ตัวอีกทีก็ 15.30 น. ความรู้สึกต่อมาคือ หิว หิวมากๆ หิวกระหาย และจมูกคือโล่งงงงงงงงงง หายใจโล่งแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน พึ่งเข้าใจวันนี้ว่าคนอื่นเค้าหายใจได้มากขนาดนี้เลยหรอ ขึ้นห้องพัก ทานข้าวมื้อแรกของวัน แบบรวบเช้ายันเย็นเป็นมื้อเดียว จมูกมีเลือดซึมออกมานิดๆ อารมณ์เลือดกำเดาไหล แต่ห้ามสั่งน้ำมูกนะ ให้ใช้ทิชชู่ซับๆ เอา และวันนี้ให้งดแปรงฟันไปก่อน โดยจะมีน้ำยาบ้วนปากมาให้บ้วนหลังทานอาหาร และก่อนนอน



วันรุ่งขึ้นก็ได้พบคุณหมอแบบมีสติ คุณหมอก็เอารูปการผ่าตัดมาอธิบายให้ฟัง และบอกว่าใช้วิธีการเอาโฟมห้ามเลือดใส่ไว้ในโพรงไซนัส ซึ่งจะต้องมาเอาออกหลังการผ่าตัด 7 วัน ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าเรานอนได้แบบเต็มอิ่มมากขึ้น ตื่นมาแล้วมัน Fresh กว่าที่เคยเป็น ไม่เจ็บแผล มีเจ็บคอจากการใส่ท่อช่วยหายใจนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต เพราะเรากินดุมาก กินได้ทุกอย่างไม่ว่าร้อน เย็น เผ็ด เปรี้ยว จนคุณหมออนุญาติให้เอาสายน้ำเกลือออกได้   และสามารถอาบน้ำ สระผม แปรงฟันได้ปกติ หลังกลับบ้านก็ให้ล้างจมูก 3 เวลา เพื่อช่วยให้สะเก็ดแผลหลุดเร็วขึ้น



ครบ 7 วันหลังผ่าตัด ก็ไปเอาโฟมห้ามเลือดออก โดยขั้นตอนก็เหมือนการส่องกล้องตรวจหลังโพรงจมูกเลย แต่ตื่นเต้นกว่านิดหน่อย เพราะคุณหมอจะใส่อุปกรณ์เข้าไปดูดโฟมห้ามเลือดออกมา ไม่เจ็บ แต่ลุ้น! เพราะเห็นกันชัดๆ ทุกขั้นตอนเลย ส่วนแผลที่เกิดจากการจี้คลื่นความถี่วิทยุก็จะค่อยๆ แห้งเป็นสะเก็ดและหลุดออกมาเอง ให้หมั่นล้างจมูกด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ ซึ่งคุณหมอจะนัดติดตามอาการอีก 1 สัปดาห์ และอีกครั้งใน 2 สัปดาห์ถัดไป ก็เป็นอันเสร็จสิ้น บอกลาไซนัสอักเสบเรื้อรังที่อยู่กันมานาน

แต่ทั้งนี้ผ่าตัดแล้วก็เป็นซ้ำได้นะ ดังนั้นเราก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ กระตุ้นให้เกิดการอักเสบในจมูกให้มากที่สุด จบ… ใครที่ตัดสินใจอยู่ว่าจะผ่าตัดดีไหม เราว่าถ้าไม่ติดปัญหาอะไรทำไปเลยดีกว่า คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ แล้วจะได้รู้ว่า… การหายใจโล่งของจริงมันเป็นยังไง!
-->