พังไม่ไหว! ทั้งรังแค ทั้งเกลื้อน ต้องจัดการให้จบในขั้นตอนเดียว

ทั้งสายตาจากคนรอบข้าง คำถามที่เหมือนโดนตำหนิ เพราะปัญหา ‘เกลื้อนที่รุนแรง’ และ ‘รังแคที่เรื้อรัง’ ทำให้หลายคนต้องแบกรับความกังวล จนกลายเป็นความกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ ถูกมองว่าเป็นโรคติดต่อ หรือถูกสังคมรังเกียจ ซึ่งถ้าเลือกได้…ก็คงไม่มีใครอยากเจอ 



เมื่อ ‘รังแค’ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาด แต่เป็นปัญหาผิวหนังที่ต้องจัดการรังแค (Dandruff) เกิดจากหนังศีรษะมีการแบ่งตัวมากผิดปกติ และเกิดการหลุดลอกออกมา ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การระคายเคืองจากแชมพูที่ใช้ การปล่อยให้หนังศีรษะชื้นนานๆ ทำให้หนังศีรษะเสียสมดุลและเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา Malassezia การเกิดรังแคไม่ว่าหนังศีรษะแห้งหรือมันก็ทำให้เกิดได้ รวมไปถึงกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน ความเครียด สภาพอากาศ และการทำเคมี 

เจาะลึกถึงต้นตอ ก่อน ‘เกลื้อน’ จะลุกลามโรคเกลื้อน เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Malassezia ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของทุกคนตามปกติ แต่เมื่อผิวหนังอยู่ในสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา เช่น เหงื่อออกมาก ผิวมัน อากาศร้อนชื้น หรือภูมิคุ้มกันผิวอ่อนแอลง เชื้อราจะเจริญเติบโตมากผิดปกติจนก่อให้เกิดโรคเกลื้อนได้ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม ยังสามารถกระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้นได้เช่นกัน

และในรายที่เป็นมาก จะเห็นผิวซีดหรือคล้ำเป็นดวง เชื่อมกันเป็นปื้นใหญ่ พร้อมขุยบางๆ ที่ลอกออกมาให้เห็นชัดเจน ยิ่งทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ และที่สำคัญอาจพบได้ทั้งที่หนังศีรษะ คอ หน้าอก หลัง และลามเป็นปื้นใหญ่ จนยากที่จะปกปิดความผิดปกติบนผิว ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจที่ต้องเผชิญหน้ากับสังคม



‘ตัวช่วยที่ใช่’ ต้องได้ผลและตอบโจทย์ได้ตรงจุดที่ผ่านมาไม่ว่าจะโฆษณาตัวไหนว่าดี ช่วยขจัดรังแค ก็กวาดมาลองจนหมดแทบทุกยี่ห้อ บางตัวไม่ช่วยอะไร บางตัวก็ช่วยได้แค่ชั่วคราว นอกจากจะเสียเงินวนไป ยังเสียทั้งใจ ทั้งความรู้สึก คงถึงเวลาที่ต้องหา ‘ตัวช่วยที่ใช่’  

ซึ่งทางองค์กร American Academy Dermatology ได้พูดถึงแนวทางการรักษาโรครังแคเรื้อรังไว้ว่าควรรักษาด้วย ‘แชมพูยาขจัดรังแค’ แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัวที่จะตอบโจทย์ปัญหาหนังศีรษะเรื้อรัง โดยเฉพาะ เกลื้อน เซ็บเดิร์ม และรังแคชนิดรุนแรงได้ ซึ่งล่าสุดเราได้รู้จักกับตัวยา Selenium Sulfide  ที่มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อรา รวมไปถึงลดจำนวนเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติ และลดความมันของหนังศีรษะ และเมื่อเทียบกับยาตัวอื่นอย่าง Ketoconazole ที่ช่วยแค่เรื่องกำจัดเชื้อรา ตัว Selenium Sulfide ก็ทำได้ดีกว่าในหลายด้าน 

Selenium Sulfide 2.5% คือตัวจบมีงานวิจัยพบว่าการใช้ Selenium Sulfide 2.5% สามารถลดจำนวนเชื้อราบนหนังศีรษะได้ภายใน 4 สัปดาห์   อีกทั้งผู้ป่วย 30 คนที่เข้าร่วมการศึกษา พบว่า จากเดิมมีอาการคันเกือบทั้งหมด (28 คน) ภายในสัปดาห์ที่ 4 เหลือเพียง 8 คนที่ยังมีอาการคัน

เพราะฉะนั้นนี่อาจเป็นตัวเลือกที่ใช่ ที่ได้ผลและตอบโจทย์ด้วยตัวยาที่สามารถกำจัดเชื้อราอย่างตรงจุด ลดความมัน ความคัน รวมไปถึงมีความปลอดภัยกว่าตัวยาอื่น เนื่องจากมีความเป็นพิษต่อเซลล์ต่ำกว่า Ketoconazole 

ใครที่หาตัวจบ ปิดสวิตช์วงจรรังแครุนแรง เกลื้อนเรื้อรัง สามารถขอคำแนะนำการใช้ตัวแชมพูยาที่มี Selenium Sulfide 2.5% จากเภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมได้

 
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 
 
-->