กินหวานมากไป ระวังน้องสาวป่วยไม่รู้ตัว

เชื่อมั้ยการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน แม้ว่าเราจะดื่มเพียง 1 แก้วต่อวัน ก็เพิ่มความเสี่ยงสารพัดโรคได้เหมือนกัน อย่างงานวิจัยจากสมาคมโภชนาการสหรัฐออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าการบริโภคเครื่องดื่มรสหวานมากเกินไป สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องจุดซ้อนเร้นที่กินหวานมากไป อาจทำให้น้องสาวป่วยไม่รู้ตัวอีก งานนี้สาวคนไหนที่รู้ตัวว่าติดหวาน ระวังให้ดี เพราะบางทีอาจเป็น “สัญญาณเตือน” ที่น้องสาวกำลังร้องขอชีวิตอยู่ก็เป็นได้!



ยิ่งหวาน ยิ่งเสี่ยง ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อ
รู้มั้ยว่าการกินน้ำตาลมากเกินไป เพิ่มโอกาสการติดเชื้อราได้ง่าย โดยเฉพาะสาวๆ ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นโรคเบาหวานจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายคนเราจะมีแบคทีเรียอยู่ 2 ชนิด คือ
  • แบคทีเรียดี หรือแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) แบคทีเรียชนิดนี้ช่วยรักษาความสมดุลของช่องคลอด และช่วยรักษาให้ช่องคลอดของเรามีภาวะเป็นกรด และมีค่า pH ต่ำ 
  • แบคทีเรียร้าย หรือแอนแอโรบส์ (Anaerobes) ถ้าในจุดซ้อนเร้นมีแบคทีเรียชนิดนี้มากเกินไป อาจทำให้ปริมาณแบคทีเรียภายในช่องคลอดเสียสมดุลและเกิดภาวะช่องคลอดติดเชื้อหรืออักเสบได้

ซึ่งขอบอกเลยว่าน้ำตาลนี่แหละ! เป็นส่วนกระตุ้นให้แบคทีเรียตัวร้ายเหล่านี้มีเพิ่มมากขึ้นในจุดซ้อนเร้นของสาวๆ ยิ่งอากาศประเทศไทยทั้งร้อน อบ ชื้น ก็จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้แบคทีเรียตัวร้ายเหล่านี้มีความร้ายกาจและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรียกได้ว่าขนกันมาเป็นกองทัพจนทำให้ช่องคลอดเกิดติดเชื้อไปในที่สุด

ขอขอบคุณภาพจาก : https://letstalksex.net/free-erotic-photos/

สัญญาณเตือน…(ภัย) ตกขาว สังเกตได้
อาการ ‘ตกขาว’ ก็เหมือนกับสัญญาณเตือนภัยให้สาวๆ เหมือนกัน เพราะเมื่อมีอาการตกขาวเกิดขึ้น แสดงว่าน้องสาวของเรากำลังตะโกนบอกเราอยู่ว่า “ฉันใกล้จะติดเชื้อแล้วนะ!!!” ซึ่งอาการตกขาวที่เกิดขึ้น คือการที่ช่องคลอดเรากำลังขับเชื้อโรคออกมา และด้วยเหตุผลนี้เมื่อช่องคลอดใกล้ติดเชื้อ ระบบภายในจึงหลั่งการตกขาวออกมามากกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งวิธีสังเกตอาการผิดปกติของการตกขาวได้ง่ายๆ คือ
  • ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) ภาวะนี้ทำให้มีอาการตกขาวผิดปกติ โดยจะสังเกตเห็นตกขาวเป็นสีเทาหรือสีขาว อาจจะมีลักษณะเป็นน้ำ เป็นฟอง หรือเป็นแผ่น มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคาวปลาและกลิ่นมักรุนแรงขึ้นหลังจากมีเพศสัมพันธ์
  • โรคเชื้อราในช่องคลอด โรคเชื้อราในช่องคลอดจะมีอาการที่สังเกตได้ชัดเลยคือ ตกขาวเป็นก้อน ลักษณะข้นเหมือนแป้งเปียก และจับตัวกันเหมือนนมบูด มีอาการคันร่วมด้วย สำหรับบางคนอาจมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด และตกขาวมีกลิ่นได้ในบางครั้ง 
  • โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาการที่พบได้จากโรคพยาธิในช่องคลอด คือ ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ตกขาวเป็นฟองสีเขียวอมเหลือง เป็นหนอง มีอาการคัน และเจ็บช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์และปัสสาวะ 
 


เลือกกินให้…ดี อย่าปล่อยให้…กีพัง! 
อย่าปล่อยปละละเลยจนทำให้เกิดความผิดปกติ เพราะเรื่องจุดซ้อนเร้นอาจทำให้สาวๆ รู้สึกกังวลใจและหมดความมั่นใจได้เลย ซึ่งการดูแลเอาใจใส่จุดซ่อนเร้นนอกจากการรักษาความสะอาดด้วยแล้ว การเลือกรับประทานอาหารก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยได้เหมือนกัน
  • อาหารที่มีโปรไบโอติกส์ เพราะโปรไบโอติกส์มีเชื้อแลคโตบาซิลัสที่ดีกับร่างกายรวมไปถึงบริเวณช่องคลอด โดยแบคทีเรียชนิดที่ดีต่อร่างกายจะช่วยคงความเป็นกรดด่างภายในช่องคลอดได้ รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อรา โดยอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ เช่น เทมเป้ โยเกิร์ต กิมจิ ผักดอง เป็นต้น
  • ผักใบเขียว มีทั้งวิตามินอี แมกนีเซียม แคลเซียม ซึ่งเป็นส่วนเสริมให้การไหลเวียนของเลือดดีมากยิ่งขึ้น และยังสามารถป้องกันภาวะช่องคลอดแห้ง รวมถึงช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณน้องสาวเราได้อีกด้วย
  • น้ำเปล่า การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยให้ช่องคลอดของสาวๆ คงความชุ่มชื้น และมีระดับน้ำหล่อลื่นอยู่ในระดับปกติ
  • ไข่ อุดมไปด้วยวิตามินดี เป็นส่วนช่วยให้ลดอาการติดเชื้อในช่องคลอด
  • กระเทียมสด มีฤทธิ์ป้องกันการติดเชื้อราและเชื้อจุลินทรีย์ โดยเฉพาะกับบริเวณช่องคลอดของสาวๆ

อย่างไรก็ตามสำหรับสาวๆ ที่ขาดหวานไม่ได้ก็ยังสามารถเลือกทานได้อยู่ หรือคิดง่ายๆ ก็คือ…ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน เพราะถ้าไม่อยากน้องสาวป่วย ก็ช่วย(เบา)หวานลงหน่อยก็ดีนะ
-->