ทำไมคน 'อ้วน' ถึงเสี่ยงต่อการเกิดโรค 'นิ่วในถุงน้ำดี'

ต่อให้เทรนด์คนหุ่นหมีจะกำลังอิน ก็อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว เพราะ “หมูที่แข็งแรง” ไม่มีอยู่จริง ยืนยันด้วยผลการศึกษาที่เผยแพร่ใน European Journal of Preventive Cardiology ซึ่งเป็นวารสารของสมาคมโรคหัวใจแห่งยุโรป (European Society of Cardiology) ที่บอกว่าการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางร่างกายสามารถลดผลกระทบด้านสุขภาพหัวใจจากน้ำหนักตัวที่เกินได้นั้นไม่เป็นความจริง ดังนั้นความอ้วนจึงเป็นตัวการร้ายของโรคต่างๆ รวมทั้ง “นิ่วในถุงน้ำดี” 



นิ่วในถุงน้ำดี มีอันตรายมั้ย...ไหนตอบ
ถุงน้ำดีเป็นอวัยวะที่อยู่ส่วนล่างของตับ ทำหน้าที่เหมือนอ่างเก็บน้ำ คอยกักเก็บ และปล่อยน้ำดีออกมา ช่วยในเรื่องการย่อย และดูดซึมสารอาหารให้ดียิ่งขึ้น โดย “ก้อนนิ่ว” จะเกิดขึ้นเมื่อส่วนประกอบของน้ำดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งคอเลสเตอรอลและบิลิรูบิน (สารให้สีในน้ำดี) ตกตะกอนผลึกเป็นก้อนคล้ายกับน้ำตาลที่ตกตะกอนอยู่ด้านล่างของขวดน้ำเชื่อม สามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
  • ชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล (cholesterol stones) พบได้บ่อยถึง 80% มีลักษณะเป็นก้อนสีขาว เหลือง หรือเขียว เกิดจากการมีคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในน้ำดี หรือการบีบตัวของกล้ามเนื้อในถุงน้ำดีมีสมรรถภาพไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถบีบสารออกได้หมด
  • ชนิดที่เกิดจากเม็ดสีหรือบิลิรูบิน (pigment stones) เป็นก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กและมีสีคล้ำกว่าชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล มักพบในผู้ป่วยโรคตับแข็งหรือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางจากการขาดเอนไซม์ G6PD
นิ่วในถุงน้ำดี ทำให้มีอาการแบบนี้
เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกว่ามีอาการแบบนี้ ให้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมไปหาหมอได้เลย เพราะว่าคุณอาจมีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดี
  • ปวดท้องอย่างรุนแรงโดยเฉพาะบริเวณช่วงท้องส่วนบนหรือด้านขวา โดยมีระยะเวลาปวดตั้งแต่ 15 นาทีถึงหลายชั่วโมง และอาจมีอาการปวดร้าวไปยังบริเวณกระดูกสะบักหรือบริเวณไหล่ด้านขวา
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย แสบร้อนที่ยอดอก มีลมในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะเสียดแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่หลังรับประทานอาหารมัน
  • ในบางรายที่ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จะทำให้มีไข้ ปวดท้องใต้ชายโครงขวา และอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้มได้


ความอ้วนส่งผลยังไงให้เกิดนิ่ว
คนอ้วนหรือคนที่มีไขมันส่วนเกินจะเป็นตัวการที่กระตุ้นให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้เร็วขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากพฤติกรรมการกินที่เมื่อร่างกายได้รับไขมันเข้าไปในปริมาณสูง โดยที่ตับที่ไม่สามารถผลิตน้ำดีออกมาสลายไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ไขมันส่วนหนึ่งที่ย่อยสลายไม่ทัน ต้องตกตะกอนอยู่ภายในถุงน้ำดี จนจับตัวเป็นก้อนนิ่วในที่สุด นอกจากนี้ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน ก็จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะมีระดับคอเรสเตอรอลสูง แต่นอกเหนือจากความอ้วนแล้วก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกับโรคดังกล่าวนี้ด้วยเหมือนกัน
  • ฮอร์โมนเอสโตรเจนและการตั้งครรภ์ จะเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลและลดการเคลื่อนตัวของถุงน้ำดี ดังนั้นผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทนจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้
  • เพศหญิงและผู้สูงอายุจะมีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้มากกว่า
  • โรคเบาหวาน เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะมีระดับของไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และถุงน้ำดีจะมีการบีบตัวน้อยในผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
  • การลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ตับหลั่งคอเลสเตอรอลออกมามากขึ้น รวมถึงถุงน้ำดีจะบีบตัวลดน้อยลง น้ำดีจึงค้างอยู่ในถุงน้ำดีนานขึ้น โอกาสเกิดการตกตะกอนก็มากขึ้นตามไปด้วย
  • อาหารที่มีไขมันสูงและเส้นใยต่ำ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
 
การรักษาสามารถทำได้โดยการผ่าตัด ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดถุงน้ำดี การผ่าตัดถุงน้ำดีแบบเปิดหน้าท้อง การผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง การส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน สำหรับกรณีที่มีนิ่วในท่อน้ำดีร่วมด้วย และด้วยวิวัฒนาการในปัจจุบัน จึงมีวิธีการรักษาแนวใหม่ คือ การผ่าตัดในถุงน้ำดีผ่านช่องคลอด ซึ่งจะต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มิฉะนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตัดโดนท่อน้ำดี ท่อน้ำดีรั่ว หรือท่อน้ำดีตันได้

รู้อย่างนี้แล้ว...ต้องรีบลดน้ำหนักอย่างไวเลย


สนใจ แพ็กเกจตรวจสุขภาพ คลิก!
-->