ปักหมุด! โรคที่เด็กๆ ต้องระวังช่วงหน้าฝน
ฝนตกกระหน่ำขนาดนี้ ไหนจะพายุเข้าซ้ำเข้าไปอีก ลำพังผู้ใหญ่อย่างเรายังฟึดฟัดกันอยู่บ่อยๆ นับประสาอะไรกับเด็กที่ภูมิคุ้มกันยังอ่อนต่อ (โรค) ก็ต้องมีสับสน ภูมิคุ้มกันทำงานไม่ทันกันบ้าง นี่ล่าสุดได้ยินว่า วอร์ดเด็กเต็มกันแทบเกือบจะทุกที่ เราเลยอยากรวบรวมข้อมูลโรคหน้าฝนของเด็กๆ มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมตัวรับมือกันไว้ก่อน มาดูกันดีกว่าว่ามีโรคอะไรที่ต้องระวังช่วงหน้าฝนนี้กันบ้าง
#โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โรคฮิตประจำปี ที่ขยันอัพเดทสายพันธุ์อย่างไม่หยุดหย่อน ส่วนใหญ่ก็จะทำให้ลูกน้อยมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามตัว ไอ ระคายเคืองที่คอ มีน้ำมูก คัดแน่นจมูก เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายโดยเฉพาะในวัยเรียน แต่วัยก่อนเข้าเรียนก็เสี่ยงไม่แพ้กัน แถมยิ่งอายุน้อย ยิ่งต้องระมัดระวังอาการแทรกซ้อนเป็นพิเศษ ในกรณีที่ลูกยังไม่สามารถสื่อสารอาการที่เป็นได้ ให้สังเกตการหายใจของลูก ว่าหน้าอกมีการกระเพื่อมแรงกว่าปกติหรือไม่ มีเสียงหวีดๆ ตามจังหวะหายใจหรือไม่ รวมไปถึงการทานน้ำและนมว่าทานได้น้อยลงไหม หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อลดความเสี่ยง และด้วยความขยันพัฒนาสายพันธุ์ จึงแนะนำให้เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรค และลดโอกาสเสี่ยต่อภาวะแทรกซ้อนได้กว่า 80% เลยทีเดียว
#โรคไข้เลือดออก โรคนี้ที่มี “ยุงลาย” ตัวร้าย เป็นพาหะ อาการที่สังเกตง่ายที่สุดก็คือ มีไข้สูงติดต่อกัน 3 วันขึ้นไป ดวงตาและใบหน้าเริ่มแดง และอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย โดยเฉพาะตรงบริเวณชายโครงด้านขวา เนื่องจากไข้เลือดออกสามารถทำให้เกิดภาวะตับอักเสบขึ้นได้ วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ พยายามอย่าให้ยุงกัด ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์กันยุงหลากหลายชนิด สารพัดแบรนด์ที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด มีติดบ้านไว้ อุ่นใจกว่าแน่นอน หรือหากอยากเสริมความมั่นใจให้ชัวร์ก็มีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ที่สามารถลดความรุนแรงของโรคได้กว่า 90% และลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ขวบขึ้นไป โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ห่างกันเข็มละ 6 เดือน
#โรคมือเท้าปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (Enterovirus 71, Coxsackie) พบบ่อยในเด็กเล็ก 6 เดือนถึง 3 ปี โดยเมื่อติดเชื้อลูกจะเริ่มมีไข้ต่ำๆ แต่จุดสังเกตสำคัญคือ มีผื่น มีตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีแผลในปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก บางรายอาจมีผื่นที่ขาและก้นร่วมด้วย มักจะติดต่อผ่านทางการไอ จาม น้ำลาย รวมไปถึงอุจจาระ โรคนี้มักจะทำให้ลูกทานอะไรไม่ค่อยได้เพราะแผลในปาก จึงอาจทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำได้ ส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 7-10 วัน แต่ข่าวดีก็คือตอนนี้เขามีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก มาให้คุณพ่อคุณแม่ฉีดให้เด็กๆ เพื่อป้องกันไว้ก่อนได้ โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กที่อายุ 6 เดือน - 5 ปี โดยเป็นวัคซีนที่ทำมาจากแอนติเจนของเชื้อเอนเทอโรไวรัสชนิด 71 (EV71) ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคนี้นั่นเอง
#โรค RSV โรคนี้ก็คล้ายกับอาการของไข้หวัด แต่ความน่ากลัวอยู่ตรงที่ไวรัสชนิดนี้สามารถทำให้ทางเดินหายใจ หลอดลม ปอดอักเสบได้ หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกเริ่มมีไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไอมากจนอาเจียน หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด ทานอาหารหรือนมได้น้อยลง ซึมลง แล้วละก็ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ซึ่งเมื่อก่อนโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และหากเป็นแล้วจะเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิตวัคซีน RSV เพื่อฉีดในเด็กออกมาแล้ว โดยหากเป็นเด็กอายุแรกเกิด - 1 ปี จะฉีด 1 เข็ม และหากอายุ 1 ปี - 2 ปี จะฉีด 2 เข็ม

#โรคอีสุกอีใส โรคยอดฮิตตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ที่ต้องระวังมายังรุ่นลูก โรคนี้คือติดต่อกันง่ายมาก โดยเฉพาะในวัยเรียน ลูกติดจากเพื่อน พี่เอามาติดน้อง ต่อๆ กันไป อาการที่เด่นชัดก็คือ มีผื่นขึ้น ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นตามตัว โดยเริ่มจากบริเวณท้อง ลามไปตามต้นแขน ขา และใบหน้า หลังจากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ดและแผลเป็นขึ้นได้ มักหายได้เองภายใน 2 - 3 สัปดาห์ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งมีประสิทธิภาพค่อนข้างดี เริ่มฉีดในเด็กตั้งแต่ 1 ขวบเป็นต้นไป และฉีดกระตุ้นอีกครั้งตอน 4 ขวบ
#โรคท้องเสียหรืออุจจาระร่วง หรือที่แม่ๆ คุ้นหูกันว่า “โรต้าไวรัส” ฮอตฮิตแค่ไหน ตอบได้จากงานวิจัยที่พบว่าในเด็กแรกเกิดถึงอายุ 5 ขวบแทบทุกคนจะเคยติดเชื้อนี้มาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ เพราะเป็นช่วงวัยที่กำลังหัดหยิบจับสิ่งของ อาจจะเผลอสัมผัสเชื้อเข้าปากโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไวรัสชนิดนี้จะเข้าไปก่อให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน เบื่ออาหาร ทานน้ำทานนมน้อย เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำรุนแรงได้ ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีการหยอดวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าให้เด็กเล็กตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป โดยมี 2 ประเภท คือแบบให้ 2 ครั้ง และแบบให้ 3 ครั้ง เลยช่วยให้พ่อแม่อย่างเราสบายใจว่าอย่างน้อยก็มีเกราะป้องกันโรคไว้ประมาณนึง
#โรค IPD และปอดบวม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ “นิวโมคอคคัส” ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดบวมได้ เป็นโรคที่มีความรุนแรงมากในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เชื้อ IPD สามารถติดต่อผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย คล้ายโรคหวัด แต่น่ากลัวกว่าตรงที่เชื้อชนิดนี้จะมีชีวิตอยู่ภายในอากาศได้นานกว่าปกติ หากลูกน้อยติดเชื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การติดเชื้ออาจทำให้พิการหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว คุณพ่อคุณแม่จึงควรระวังอย่าให้ลูกโดนฝนหรืออย่าพาไปในที่ที่มีคนเยอะๆ โดยไม่จำเป็น
เพราะหน้าฝน มีความชื้นในอากาศสูง จึงเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย รวมถึงไวรัส และทำให้ละอองน้ำที่มีเชื้อไวรัสลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น จึงเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้มากขึ้น รวมถึงการที่อุณหภูมิลดต่ำลง ยิ่งทำให้เชื้อเติบโตได้ดี และโดยธรรมชาติแล้วร่างกายของคนเรามักจะมีภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่อเจอกับอากาศเย็นหรือชื้น รู้อย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่อย่าวางใจ ควรหมั่นสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยอยู่เสมอ วัคซีนอาจช่วยเป็นเกราะป้องกันที่ดี แต่การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยกระตุ้นภูมิของลูกน้อยได้อีกทางเช่นกัน