เช็กให้ดี! อาการแบบนี้ ‘ริดสีดวง’ หรือ ‘มะเร็งลำไส้’




ถึงแม้ว่า ‘ริดสีดวง’ และ ‘มะเร็งลำไส้’ จะเป็นสองโรคที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ด้วยอาการบางอย่างที่ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกัน ทำให้ผู้ป่วยหลายคน เกิดการสับสนคิดว่าตัวเองเป็นแค่ริดสีดวง ทั้งที่จริงๆ แล้วป่วยเป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าอย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งถือเป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับที่ 3 ในผู้ชาย และอันดับที่ 2 ในผู้หญิง คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 9 แสนคนในแต่ละปี ดังนั้น การหมั่นสังเกตตัวเองเป็นประจำ ก็จะช่วยให้เราพบความผิดปกติของร่างกายได้เร็ว และไปพบแพทย์เพื่อรักษาได้อย่างทันท่วงที



ริดสีดวงทวาร โรคนี้ใครก็เป็นได้
ก่อนอื่น ต้องรู้ก่อนว่าริดสีดวงทวาร (Haemorrhoid) ไม่ใช่เนื้องอก แต่เป็นภาวะที่หลอดเลือดดำบริเวณปลายสุดของลำไส้และทวารหนักมีการโป่งพอง จนเกิดเป็นก้อนบวม ซึ่งเกิดได้ทั้งภายในทวารหนัก (Internal Hemorrhoid) ทำให้ไม่สามารถตรวจเบื้องต้นโดยการคลำได้ ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเจ็บปวด และภายนอกทวารหนัก (External Hemorrhoid) โดยมักเกิดขึ้นบริเวณรอยย่นทวารหนัก ซึ่งสามารถมองเห็นและคลำได้ รวมถึงอาจมีอาการเจ็บ คัน หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณรูทวารได้

มะเร็งลำไส้ ใครบ้างต้องระวัง
ส่วนโรคมะเร็งที่มีความคล้ายคลึงกับโรคริดสีดวง คือมะเร็งลำไส้ตรง หรือลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectal Cancer) ซึ่งเกิดในตำแหน่งที่ใกล้กับทวารหนัก เกิดจากเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป คือมีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็ง สูบบุหรี่ รวมถึงมีประวัติลำไส้อักเสบเรื้อรังด้วย

ความเหมือนที่แตกต่าง
อาการของโรคริดสีดวงนั้น จะมากน้อยแตกต่างกันไปตามระยะของโรค ซึ่งส่วนใหญ่ในระยะแรกๆ ก็จะเริ่มจากการมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ถ้าเป็นริดสีดวงชนิดภายนอก ก็มักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณรูทวารด้วย ซึ่งก้อนเนื้อตัวนี้อาจจะปลิ้นออกมา และยุบกลับเข้าไปในรูทวารได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่อาการมากขึ้น ก็จะทำให้รู้สึกไม่สบายขณะนั่ง ยืน หรือแม้แต่ตอนไอ จาม หรือยกของหนัก เพราะแรงดันในช่องท้อง ในคนที่มีอาการมากหัวของริดสีดวงอาจใหญ่ขึ้น และไม่สามารถดันให้ยุบกลับไปในรูทวารได้ ถ้าหากปล่อยไว้จนถึงระยะสุดท้าย อาจทำให้ริดสีดวงอักเสบ เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง จนอาจติดเชื้อได้ และอาการที่อาจจะตามมาก็คือ “ซีด” และ “อ่อนเพลีย ”เนื่องจากมีเลือดออกมากๆ เมื่อขับถ่ายนั่นเอง
 
ในขณะที่มะเร็งลำไส้นั้น ก็สามารถพบเลือดที่ปนออกมากับอุจจาระได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่มักจะคลำไม่พบก้อนที่รูทวาร และมักจะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายบริเวณก้นโดยจุดสังเกตระหว่างริดสีดวงกับมะเร็งลำไส้ คือ มะเร็งลำไส้มักจะมีการขับถ่ายที่ผิดปกติไปจากเดิม โดยมักจะถ่ายบ่อยขึ้น รู้สึกถ่ายไม่ค่อยสุด หรือมีรูปร่างของอุจจาระที่เรียวเล็กลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะอุจจาระถูกรีดโดยก้อนมะเร็ง และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหาร ปวดท้อง หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

ที่ต้องรู้ไว้เลยก็คือ เจ้ามะเร็งลำไส้ในระยะแรกๆ มักจะไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรมากไปกว่าการขับถ่ายที่ผิดปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนจึงต้องหมั่นสังเกตร่างกายตัวเอง เพราะถ้าพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถรักษาโรคได้อย่างทันเวลา และมีโอกาสหายขาดสูง
-->