วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ‘ลูกติดแม่’ vs ‘แม่ติดลูก’

ความใกล้ชิดของแม่กับลูกนั้นก็เป็นเหมือนพลังใจที่ช่วยให้เด็กกล้าที่จะออกไปสำรวจโลก แต่ถ้ามากเกินไปอาจทำให้ทั้งแม่และลูกรู้สึกเหนื่อยและกังวล จนกระทบกับพัฒนาการและการใช้ชีวิตได้เหมือนกัน มาดูกันว่าแล้ว ‘ติด’ แบบไหนที่พอดี และแบบไหนที่เรียกว่า ‘มากเกินไป’ 



Secure base สิ่งที่เด็กต้องการ แนวคิด secure base หรือ ฐานปลอดภัย นั้นมาจากทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ซึ่ง John Bowlby จิตแพทย์ชาวอังกฤษ ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เด็กต้องการ ‘ฐานที่มั่นคง’ จากแม่หรือผู้ดูแลเพื่อเอาตัวรอดและพัฒนาให้เป็นอิสระ และเด็กต้องการ ‘คน’ ที่เขาสามารถเชื่อใจได้ว่าจะอยู่ข้างๆ ตอบสนองไว อบอุ่นและคาดเดาได้ เพื่อทำให้เขากล้าที่จะออกไปสำรวจโลก และกลับมาพักใจในวันที่เหนื่อยล้าหรือหมดแรง เช่น เด็กออกไปวิ่งเล่น และหันกลับมามอง หรือวิ่งกลับมาจับมือสั้นๆ ก่อนวิ่งกลับไปเล่นต่อ หรือเมื่อเด็กเริ่มไปโรงเรียน การไปรับ-ส่ง โมเมนท์ของการกอดบอกลาในทุกๆ วันก่อนแยกจาก อาจจะทำให้เด็กร้องไห้บ้างตอนแยกจากแต่สุดท้ายเขาก็จะหยุดและปรับตัวได้ ซึ่งสิ่งสำคัญไม่ใช่การทำให้ทุกอย่าง หรือตามใจเพื่อไม่ให้เขาผิดหวัง แต่คือการอยู่ข้างๆ อย่างอบอุ่น เพื่อให้เด็กซ้อมทักษะต่างๆ การรอคอย การขอความช่วยเหลือ การตัดสินใจ ภายใต้ขอบเขตที่ปลอดภัยนั่นเอง

Signal Alert! เป็นแบบนี้เมื่อไหร่ ไม่ดีแน่ แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าความใกล้ชิดแบบไหนคือพอดี หรือพฤติกรรมแบบไหนของแม่และลูกที่บอกว่ากำลังติดกันอย่าง ‘เกินพอดี’
  • Red Flag จากแม่: ต้องอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา จะรู้สึกไม่สบายใจถ้าลูกไม่อยู่ในสายตา แม้จะเป็นสถานการณ์ที่คุ้นเคย ชอบทำแทนลูกทุกอย่าง พูด ตัดสินใจ หรือแม้แต่กิจวัตรประจำวัน แต่งตัว กินข้าว เก็บของ ทั้งๆ ที่วัยของลูกสามารถทำเองได้ และเมื่อเกิดสถานการณ์ที่รู้ว่าจะทำให้ลูกร้องไห้ อย่างการไปโรงเรียน การทำกิจกรรม จะยกเลิกทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียน้ำตา หรือเวลาที่ลูกไปโรงเรียน จะคอยโทรเช็ค หรือขอรายงานจากครูอยู่บ่อยๆ และไม่ไว้ใจใครให้ดูแลลูกแทน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือแม้แต่พ่อของเด็กเอง รวมถึงมีอารมณ์ผันผวนตามอารมณ์ลูก และไม่มีเวลาของตัวเองและคู่รัก
  • Red Flag จากลูก: เมื่อต้องถูกแยกจากแม่ จะร้องไห้หนักทุกครั้ง แม้ว่าจะผ่านการฝึกมาบ้างแล้วก็ตาม เด็กจะมีเรียกหาแม่อยู่ตลอด โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรือถ้าเป็นไปได้ก็ต้องการจะหลีกเลี่ยง ไม่ยอมลอง ทำให้ทักษะอิสระช้ากว่าวัย ไปจนถึงไม่สามารถทำกิจวัตรประจำได้ เช่น การกิน การนอน ที่ต้องมีแม่อยู่ข้างๆ หรือมีแม่ป้อนเท่านั้น พูดง่ายๆ คือทุกการกระทำของเด็ก จะต้องมีแม่อยู่ตรงนั้นเสมอ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสัญญาณเหล่านี้มักจะมีตัวกระตุ้นเป็นการเปลี่ยนผ่าน เช่น การเข้าโรงเรียน การย้ายบ้าน หรือการมีสมาชิกใหม่ รวมถึงประสบการณ์การเจ็บป่วย ความวิตกกังวลของคนเป็นแม่ เป็นต้น

ถ้า ‘มากเกินไป’ จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าเด็กติดการพึ่งพาแม่มากจนเกินไป หรือการที่แม่อยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา จนทำให้ลูกเคยชินที่จะพึ่งพาแม่มากเกินไป จะทำให้เขาไม่กล้าเผชิญโลกภายนอก หรือแม้แต่ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง เด็กอาจมีปัญหาในการเข้าสังคม ร้องไห้ หรือวิตกกังวลมาก เวลาต้องแยกจากแม่ ทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน หรือไม่สามารถปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ได้ ในขณะเดียวกันแม่ที่ติดลูก ก็อาจจะละเลยบทบาทส่วนตัว การทำงาน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์กับคู่สมรส หรือบางรายอาจรู้สึกเครียดจากการที่คิดว่าต้องดูแลลูกตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้ก็อาจส่งผลทำให้เด็กขาดทักษะในการแก้ปัญหา ไม่มีความมั่นใจในการเผชิญความล้มเหลว และเสี่ยงต่อการมีบุคลิกแบบ anxious attachment หรือความผูกพันแบบกังวล นั่นเอง

ปรับจูนอย่างไร…ให้เติบโตได้อย่างอิสระ ถ้าเราสามารถปรับจูนความใกล้ชิดให้อยู่ในเลเวลที่ ‘พอดี’ ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งแม่และลูก โดยความใกล้ชิดนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงทางใจให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและมีพัฒนาการทางสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต รวมถึงการกอด เล่น หรือตอบสนองจากแม่ จะช่วยกระตุ้นสารเคมีในสมองอย่าง ออกซิโทซิน (Oxytocin) ที่ช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างความสัมพันธ์ ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการควบคุมอารมณ์ และความใกล้ชิดของแม่ยังเป็นรากฐานสำคัญให้ลูกเรียนรู้ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและอาจส่งผลให้ลูกสร้างครอบครัวที่มีคุณภาพเมื่อโตขึ้น

อย่ารู้สึกผิดถ้าจะต้องเว้นที่ว่างให้ลูกได้เติบโตอย่างอิสระด้วยตัวเองบ้าง เพราะการที่แม่เอาตัวเองไปติดกับลูกมากจนเกินไป นอกจากจะทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าหมดไฟกับการเป็นแม่แล้ว ยังเสี่ยงซึมเศร้า สมองล้า จนกระทบชีวิตตัวเองและชีวิตคู่ได้อีกด้วย
-->