เพราะการกลั้นจาม...อันตรายกว่าที่คุณคิด

ท่ามกลางช่วงระบาดของไวรัส Covid-19 อีกหนึ่งการประเมินตัวเองเบื้องต้นว่าอยู่ในกลุ่มผู้รับเชื้อหรือไม่ คือการสังเกตจากการจาม ซึ่งจากสื่อ Social ต่างๆ ที่ได้นำเสนอเชิงล้อเลียน โดยมีนัยยะว่าถ้าหากคนไหนจาม ยิ่งในช่วงการระบาดอย่างหนักแล้วนั้นอาจทำให้คนในวงแตกฮือได้เลย และจากสื่อดังกล่าว เลยเป็นผลให้มีอีกหลายสื่อนำเสนอเรื่องราวแนวตลกมาแก้สถานการณ์ เกี่ยวกับอากัปกิริยาที่แตกต่างกันไปสำหรับคนที่กลั้นจาม บ้างก็น้ำตาเล็ด หรือบ้างก็แสดงหน้าตาเหยเก บ่งบอกถึงความทุกทรมานอย่างน่าขบขัน

 
วันนี้ Health Addict จะมาแชร์ข้อมูลว่า การจามนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย และที่สำคัญการกลั้นจามอันตรายกว่าที่คุณคิด
 
คุ้นชินมานาน...แต่รู้มั้ยการจามเกิดขึ้นได้ยังไง
การจามเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปผ่านจมูกโดยการหายใจเข้า ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจไม่คุ้นชินของร่างกายแต่ละคน เมื่อเยื่อบุจมูกของเรา Detect ได้ว่ากำลังมีวัตถุแปลกปลอมเข้ามาบุกรุก ร่างกายจะเริ่มปฏิบัติการกำจัดสิ่งนั้นออกทันที โดยกลไกเริ่มจาก ปอด กระบังลม และกล้ามเนื้อหน้าอกเกิดการหดตัวด้วยความเร็ว ส่งผลให้เกิดแรงดันด้านในพุ่งขึ้นมายังช่องทางเดินหายใจ และจามออกมาผ่านทางจมูกและปาก โดยกลไกทั้งหมดจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้คำสั่งของสมอง ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 0.1 วินาทีเท่านั้น และจากสถิติการเก็บข้อมูลของ National Library of Medicine ประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่ากลไกการจามที่เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีนั้น สามารถทำให้ละอองน้ำที่พุ่งออกมากระจายไปไกลถึง 10 เมตร เมื่อเทียบเป็นความเร็วก็จะเริ่มต้นตั้งแต่ระดับ 30 กม./ชม. ไปจนถึง 150 กม./ชม. ตามแต่ว่าสิ่งที่เราหายใจเข้าไปนั้นแปลกปลอมแค่ไหน
 
ยังไม่หมดแค่นั้น คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่าขณะจาม ยังมีอวัยวะอีกส่วนหนึ่งมาเกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ นั่นก็คือดวงตา ซึ่งการจามทุกครั้ง ดวงตาของเราจะถูกปิดลง เหตุผลเพราะว่าอะไรเราตามไปดูกัน
 
อีกหนึ่งเรื่องของการจาม...ที่เราไม่ค่อยสังเกตเกี่ยวกับดวงตา
เชื่อหรือไม่ว่า คนส่วนใหญ่เมื่อจามจะต้องหลับตา เหตุผลก็เพราะเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งไม่ได้มีผลวิจัยรองรับเลยว่าเพราะอะไรถึงเกิด effect แบบนั้น แต่เคยมีข้อมูลจาก www.livescience.com ให้ข้อมูลว่าการหลับตาขณะจาม อาจเป็นกลไกที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อป้องกันละอองน้ำที่พ่นออกย้อนกลับเข้าสู่ดวงตา ซึ่งเมื่อฟังแบบนั้นแล้วก็พอจะคล้อยตามเหตุผลนี้ได้ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่ามีผู้ติดเชื้อในดวงตาจากการจาม
 
อย่างไรก็ตามเคยมีเคสที่เกิดขึ้นจริงจากการรายงานข่าวของ New York Times ว่ามีผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งเข้ารับการรักษาดวงตา โดยผู้ป่วยมีอาการลูกตาหลุดออกจากเบ้าเนื่องจากลืมตาขณะจาม เป็นเหตุให้บางเวปไซต์ยึดหลักว่านี่เป็นอีกเหตุผล หรือกลไกของร่างกายอย่างหนึ่งที่ทำให้เราต้องหลับตาขณะจาม เพราะเมื่อการจามระดับสูงสุดมีความเร็วได้ถึง 150 กม./ชม. ก็อาจจะมีแรงดันมากพอที่ทำให้ดวงตาซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจหลุดออกมาได้ 

มาถึงจุดนี้ก็อย่าพึ่งตกใจจนรีบสะกดจิตตัวเอง หรือรีบแชร์ข้อมูลนี้โดยไม่อ่านให้จบว่าให้หลับตาทุกครั้งขณะจาม เพราะตั้งแต่มีการเปิดเผยข้อมูลมาก็น่าจะเพิ่งมีคนเดียวในโลกที่มีอาการลูกตาหลุดเพราะลืมตาขณะจาม เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็น้อยนิดมาก หรือเท่ากับมดตัวเดียวในจำนวนของมดทั้งโลก หรือถ้าใครอยากพิสูจน์ทฤษฎีนี้ว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหน ก็ขอเตือนเลยว่าอย่าได้ลองเลย เพราะบางครั้งลูกตาอาจจะไม่หลุด แต่อาจเกิดอาการอื่นที่อันตรายกว่านั้น 
 
แก้วหูอาจแตกได้เมื่อกลั้นจาม
อีกหนึ่งอวัยวะที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยในเรื่องของช่องทางเดินหายใจ แต่โดนลูกหลงไปเต็มๆ คือแก้วหู (Ear Drum) มาถึงจุดนี้หลายคนเริ่มงงหรือสงสัยว่าหูมาเกี่ยวอะไรด้วย ลองนึกภาพตามคำถามที่ว่า ทำไมในโรงพยาบาลถึงรวบแผนก หู คอ จมูก และปากไว้ด้วยกัน นั่นก็เพราะว่ากลุ่มอวัยวะเหล่านั้นแม้จะมีกลไกการทำงานที่ไม่เหมือนกันแต่มีความสัมพันธ์กัน เช่นในเรื่องของหู ที่จริงๆ แล้วหูจะมีท่อท่อหนึ่งเชื่อมต่อจากช่องคอ โดยท่อนั้นมีชื่อว่า ยูสเตเชียน(Eustachian) ความพิเศษของท่อนี้คือจะมีกล้ามเนื้อปิดอยู่ หรือถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกว่า เคยมีใครในโลกมั้ยที่เคยสำลักบะหมี่หรือน้ำแล้วไปออกที่หู อย่างไรก็ตามจะมีสิ่งหนึ่งที่สามารถเปิดกล้ามเนื้อที่ปิดอยู่นั้นออกได้คือลม ลมในที่นี้คือการตั้งใจทำให้เกิดลมของเรานั่นเอง
 
ลมนั้นมาจากไหน ก็มาจากการที่เราหายใจออกแต่ปิดปากและจมูกไว้ สุดท้ายเมื่อลมหาทางออกไม่เจอก็จะเล็ดรอดเข้าไปในท่อยูสเตเชียน โดยไปดันให้แก้วหูเปลี่ยนรูป หรือบางครั้งถ้าลมนั้นมีระดับความแรงมากเช่นความแรงจากการกลั้นจาม ก็มีเคสจริงที่เกิดขึ้นบ่อยว่ามีผู้ป่วยเกิดอาการแก้วหูแตกจากการกลั้นจาม และเป็นสถิติที่เชื่อถือได้ไม่เหมือนเคสของลูกตาหลุด
 
อาการทางหูว่ารุนแรงแล้ว....อาการทางสมองที่เกิดจากการกลั้นจามหนักกว่า
ข้อมูลต่อไปนี้ เป็นข้อมูลจริงจาก นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ พบผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 84 ปี เข้ามารักษาด้วยอาการพูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก และหูอื้อ พอคุณหมอนำผู้ป่วยเข้าเครื่องสแกนสมอง ก็พบว่ามีถุงลม (Air Pocket) ในเนื้อสมองข้างซ้ายขนาดประมาณไข่ไก่เบอร์ 3 เมื่อสอบถามถึงสาเหตุพบว่าผู้ป่วยได้เม้มปากและปิดจมูกขณะจาม ทำให้ลมบางส่วนไปดันแก้วหู และอีกส่วนที่เหลือได้พุ่งขึ้นไปในสมอง
 
จากการรักษาครั้งนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษกว่าเคสอื่นทั่วโลก แต่ที่น่าตกใจคือผู้ป่วยคนเดิมได้กลับมารักษาในอาการเหมือนเดิมเป้ะ และเมื่อคุณหมอนำผู้ป่วยเข้าเครื่องสแกนสมองอีกครั้ง ก็ได้พบว่ามีถุงลมในเนื้อสมอง แต่ครั้งนี้มีขนาดที่เล็กกว่าการรักษาครั้งก่อน ส่งผลให้คุณยายท่านนั้นน่าจะเป็นผู้ป่วยรายแรกของโลก ที่มีอาการลมเข้าสมองเพราะการกลั้นจาม ถึง 2 ครั้งในเวลาห่างกัน 3 ปีกว่า จากเหตุการณ์นั้นคุณหมอได้ทำการเน้นย้ำกับผู้ป่วยรายนั้นว่าห้ามกลั้นจามอีก ส่วนวิธีรักษาก็ต้องค่อยๆ ให้ลมในสมองค่อยๆ ซึมเข้าสู่กระแสเลือด จนถุงลมค่อยๆ เล็กลงในที่สุด ซึ่งใช้เวลานานถึง 50วัน มาถึงจุดนี้คงไม่มีใครอยากล้มสถิติ World’s Record นี้ใช้หรือไม่
 
ผลข้างเคียงอื่นจากการกลั้นจาม
นอกจากอาการแก้วหูแตก และมีถุงลมในสมองแล้ว ผลการรักษาจากทั่วโลกยังพบอีกว่าการกลั้นจาม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง อาจทำให้เกิดแรงดันขึ้นสมอง ส่งผลให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ หรือที่หนักพอๆ กับอาการลมตีขึ้นด้านบน คือการที่ลมย้อนกลับลงด้านล่าง จนทำให้กล้ามเนื้อกระบังลม ปอดและถุงลม เกิดการฉีกขาด
 
เมื่อการกลั้นจามเป็นสิ่งต้องห้าม...เราต้องจามยังไง
เมื่อกลไกร่างกายสร้างเราให้จามเมื่อพบสิ่งแปลกปลอม เราก็ไม่ควรฝืนกฎธรรมชาตินั้น เพียงแค่ต้องทำให้ถูกต้อง คำว่าถูกต้องในที่นี้หมายถึงป้องกันการฟุ้งกระจายของของเหลว ละอองน้ำและเชื้อโรค โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการจามใส่กระดาษชำระ หรือผ้าเช็ดหน้า แต่ก็อย่างว่าแหละการจามเป็นสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถควบคุมหรือคาดคะเนว่าจะเกิดเมื่อไหร่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราคว้ากระดาษหรือผ้าไม่ทัน การจามใส่ข้อพับแขนถือว่าเป็นสิ่งที่แนะนำจาก WHO Thailand แทนที่จะจามใส่มือ เพราะมือเป็นอวัยวะที่เรานำไปจับต้องสิ่งอื่นรอบข้าง หรือถ้าจามใส่ข้อพับแขนไม่ทัน อย่างน้อยก็ให้จามใส่มือ และรีบทำความสะอาดล้างมือก่อนไปหยิบจับสิ่งอื่น 
 
อย่างที่บอกว่าพอพูดเรื่องสุขภาพ เรามักจะนึกถึงเรื่องราวของตัวเอง โดยหาทุกวิถีทางที่จะทำให้ร่างกายเราแข็งแรงที่สุด แต่จะเป็นการดีขึ้นไปอีกถ้าเราลองส่งความรักถึงคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่เราไม่รู้จักเค้าเลย เพียงแค่ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากตัวเราด้วยตัวเราเอง
 
 
-->