Animal-Based Diet กินเนื้อ ช่วยชะลอวัยได้จริงมั้ย?

คุณเคยได้ยินเรื่อง Wellness Nutrition หรือ การกินเพื่อสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน บ้างมั้ย? หนึ่งในนั้นมีการพูดถึงการกินอาหารแบบ Animal-Based Diet หรือการเน้นกินเนื้อสัตว์ มาดูกันว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วที่เขาพูดกันว่ามันช่วยชะลอวัยได้ มันจริงหรือเปล่า?



Animal-Based Diet แนวคิดนี้เกิดมาจาก… แนวคิดนี้ถูกพัฒนามาจาก Paul Saladino ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอเมริกันที่อยู่ในวงการทางเลือกสุขภาพ เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในประเด็นที่เกี่ยวกับแนวคิด Animal-Based Diet ที่เน้นเรื่องความสมดุลของโภชนาการ เน้นวัตถุดิบอาหารจากสัตว์ที่มีคุณภาพสูงและหลีกเลี่ยง ‘พืชที่สารต้านอาหาร’ (สารต้านอาหาร คือ สารประกอบตามธรรมชาติที่พบในพืช ที่ทำหน้าที่ ‘ป้องกันตัวเอง’ จากแมลงหรือสัตว์ที่มากิน แต่ในร่างกายของมนุษย์ สารเหล่านี้อาจไป ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็น เช่น แร่ธาตุ วิตามิน หรือโปรตีนบางชนิด) แต่สามารถทานผลไม้ น้ำผึ้ง หรือผลิตภัณฑ์นมดิบได้ 

ซึ่งแนวคิด Animal-Based Diet นี้มีรากฐานคล้ายๆ กับแนวคิดของ Paleo diet และ Ketogenic diet ที่พูดถึงเรื่อง ‘ย้อนกลับสู่การกินแบบดั้งเดิม’ เพราะในโลกของ Wellness นั้น การกินไม่ใช่แค่เรื่องของโภชนาการเท่านั้น แต่เชื่อกันว่าเป็นการสร้างพลังงานชีวิตที่ไหลเวียนอย่างสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้น การกินแบบ Animal-Based Diet จึงไม่ใช่แค่การกินเนื้อสัตว์ แต่คือการกลับมาอยู่ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของร่างกาย 

หลักสำคัญของการ ‘กินเนื้อ’ อย่างที่ได้เกริ่นไปว่าการกินแบบ Animal-Based Diet ไม่ได้หมายถึงการกินแต่เนื้อสัตว์ แต่คือการกินโดยใช้หลักพื้นฐานสำคัญ 3 อย่างด้วยกัน คือ การกินอาหารจากสัตว์เป็นหลัก (ประมาณ 80%) ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา ไข่ เครื่องใน หรือน้ำมันสัตว์ สองคือการกินผลไม้และน้ำผึ้ง เพื่อให้พลังงานและสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ และสุดท้ายคือลดอาหารที่เป็นพืชที่มีสารต้านสารอาหาร (antinutirents) เช่น ถั่ว ธัญพืช กลูเตน หรือผักใบที่มี oxalate สูง เช่น ผักโขม คะน้า บีทรูต เป็นต้น ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารของร่างกาย

‘Animal-Based Diet’ กับการ ‘ชะลอวัย’ การกินแบบ Animal-Based Diet ถูกพูดถึงว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยลดกระบวนการเสื่อมของเซลล์ที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation) ความเครียดออกซิเดชั่น (Oxidative Stress) และภาวะฮอร์โมนและเมตาบอลิซมไม่สมดุล (Hormonal Imbalance & Metabolic Decline) ได้ เนื่องจาก
  • มีโปรตีนและกรดอะมิโนคุณภาพสูง ช่วยฟื้นฟูเซลล์และเนื้อเยื่อ เพราะเนื้อสัตว์และอวัยวะเป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็น ที่ร่างกายต้องใช้ในการซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รวมถึงส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับอายุชีวภาพ (biological age)
  • เพราะไขมันดีจากสัตว์ คือแหล่งขุมทรัพย์ของการสร้างฮอร์โมนและผิว การกินไขมันจากสัตว์ โดยเฉพาะแบบ grass-fed หรือ pasture-raised ช่วยให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนได้อย่างสมดุล ไม่ว่าจะเป็น เอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน DHEA และ Pregnenolone ซึ่งสัมพันธ์กับการชะลอวัยในระดับ cellular aging   
  • วิตามินและแร่ธาตุเฉพาะจากสัตว์ ช่วยปกป้องสมองและผิว อาหารจากสัตว์ให้สารอาหารที่หาได้ยากในพืช ไม่ว่าจะเป็น Vitamin B12, Iron, Zinc, Selenium ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ประสาท Vitamin A (Retinol) ช่วยกระตุ้นการสรร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว Vitamin K2 ช่วยให้แคลเซียมไปสะสมในกระดูกแทนหลอดเลือด และ CoQ10 และ Creatine ช่วยเพิ่มพลังงานในเซลล์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสารสำคัญในการชะลอวัยในระดับเซลล์ (cellular regeneration) 
  • ลดการอักเสบของน้ำตาลในเลือด ศัตรูตัวร้ายของความอ่อนเยาว์ เมื่อเรากินคาร์โบไฮเดรตต่ำและไขมันสูงจากธรรมชาติ ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ การอักเสบภายในลดลง รวมถึงการเกิด ‘glycation’ (การที่น้ำตาลจับกับโปรตีนจนเกิดริ้วรอย) ลดลง ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสมดุล ลดการเสื่อมของเซลล์ผิว ผิวไม่เหี่ยวย่นง่าย
  • เติมคอลลาเจน ช่วยชะลอวัยในระดับเนื้อเยื่อ (tissue-level anti-aging) ถ้าว่ากันตามศาสตร์ของการกินแบบ Animal-Based Diet แล้วนั้น มีการส่งเสริมให้กินแบบ nose-to-tail คือการกินอวัยวะและกระดูก ที่เชื่อกันว่าอุดมไปด้วยคอลลาเจนจากธรรมชาติ ไกลซีน กลูโคซามีนและไฮยาลูโรนิกแอซิด ที่ช่วยเรื่องผิว ข้อต่อ และทำให้เนื้อเยื่อคงความยืดหยุ่นได้ดี

สิ่งที่ต้องระวัง !! อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อควรระวังในการกินแบบ Animal-Based Diet เพราะแม้ว่าการกินเนื้อสัตว์จะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด แต่การลดอาหารพืชมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารรองบางอย่างได้เช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ เช่น เหนื่อยง่าย ภูมิต้านทานต่ำ ระบบขับถ่ายช้าลง ท้องผูก และการกินไขมันสัตว์มากเกินไป อาจส่งผลต่อระดับ LDL cholesterol เพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะกับคนที่มีพันธุกรรมแบบ hyper responder หรือตอบสนองไว้ต่อไขมันอื่มตัว

ไม่ว่าคุณจะเลือกกินแบบไหน สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้ร่างกายหรือจิตใจรู้สึก ‘ตึงเครียด’ มากเกินไป เพราะการสร้างสุขภาพที่ดีต้องดีทั้งกายและใจ 

 
-->