สัญญาณที่มักถูกมองข้าม ของโรคซึมเศร้าในผู้ชาย
ผู้ชายหลายคน อาจไม่ได้ร้องไห้ เมื่อเป็นซึมเศร้า แต่อาจเป็นอาการที่แสดงถึงความเงียบ หงุดหงิดง่าย โฟกัสแต่การทำงาน ทำงานหนักเกินไป หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการดื่มที่มากขึ้น ไม่ใช่เพราะเค้าไม่รู้สึก แต่อาจมีสังคมที่ไม่ยอมรับ และไม่อนุญาตให้ผู้ชายแสดงถึงความอ่อนแอ แล้วเราจะรู้ได้ไง..ว่าผู้ชายคนนั้นอาจกำลังป่วยทางใจ?
โรคซึมเศร้าในผู้ชาย “ไม่ใช่ภาพเศร้าแบบที่เราคุ้นเคย”หลายคนรู้จักโรคซึมเศร้าในฐานะโรคที่ทำให้คน “เศร้า ร้องไห้ หมดหวัง” แต่วิธีที่ผู้ชายแสดงอาการมักต่างออกไป ผู้ชายบางคนยังดูปกติดีภายนอก แต่ข้างในกลับรู้สึกหมดแรง เบื่อชีวิต ไม่อยากตื่นมาเริ่มต้นวันใหม่อีกต่อไป
แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ถ้าเค้าไม่ได้แสดงออก?อาการพื้นฐานของภาวะซึมเศร้ายังเหมือนเดิม เช่น รู้สึกหมดหวัง ไม่สนใจสิ่งที่เคยรัก นอนไม่เป็นเวลา ไม่มีแรง ใช้ชีวิตเหมือนถูกดึงพลังออกไปเรื่อย ๆ แต่ในผู้ชาย มักมี “สัญญาณที่ถูกมองข้าม” เพราะไม่ได้ดูเหมือนอาการเศร้า ลองสังเกตอาการที่อาจเป็นสัญญาณ แต่มักโดนมองข้าม เช่น
- โมโหง่าย หงุดหงิดกับเรื่องเล็ก ๆ
- ทำงานหนักเกินไปเพื่อ “หลีกหนีความรู้สึก”
- ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดมากขึ้น
- เก็บตัว ไม่อยากคุย ไม่อยากเข้าสังคม
- ใช้พฤติกรรมเสี่ยง เช่น ขับรถเร็ว เล่นกีฬาเสี่ยง หรือทำอะไรที่ “ไม่กลัวตาย”
- บ่นปวดหัว ปวดหลัง อ่อนเพลียเรื้อรัง (แต่ตรวจร่างกายแล้วปกติ)
ผู้ชายเสี่ยงร้ายแรงกว่า แม้อัตราวินิจฉัยจะต่ำกว่ามีงานวิจัยจาก National Institute of Mental Health (NIMH) สหรัฐอเมริกา พบว่าในปี 2021 อัตราการมี “อาการซึมเศร้ารุนแรง (major depressive episode)” ในผู้ใหญ่ไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป: ผู้ชายอยู่ที่ 6.2% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ 10.3% แต่ถ้าดู “อัตราการฆ่าตัวตาย” กลับพบความต่างแบบสวนทาง ข้อมูลของ WHO และฐานข้อมูล Our World in Data ชี้ว่าในหลายประเทศทั่วโลก ผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิงอย่างน้อย 2 เท่า หมายความว่า แม้ผู้ชายถูกวินิจฉัยว่าเป็นซึมเศร้าน้อยกว่า แต่ผลลัพธ์จากความเจ็บปวดภายใน “รุนแรงกว่า” และอาจจบลงแบบที่ไม่มีโอกาสขอความช่วยเหลือ
ทำไมผู้ชายจำนวนมากถึงซ่อนความรู้สึกไว้?แรงกดดันหลักมักเริ่มจากสังคมที่ปลูกฝังว่า “เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้ ห้ามอ่อนแอ” เมื่อผู้ชายเจอปัญหาการเงิน ความสัมพันธ์ หรือความล้มเหลวในชีวิต สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกผิดและความกดดันว่า “ฉันเป็นภาระ” หรือ “ฉันไม่เก่งพอ”
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางชีวภาพ เช่น พันธุกรรม หรือความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง ที่ทำให้ความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้น หากไม่มีใครสังเกตเห็น
วิธีสังเกตคนที่อาจ “ไม่โอเคทั้งที่บอกว่าโอเค”
- เขาดูเปลี่ยนไปแบบไม่ใช่ตัวเอง
- หายไปจากวงสังคม ไม่ค่อยตอบแชต
- กลายเป็นคนเงียบ หรือไม่ก็หงุดหงิดง่ายผิดปกติ
- มีพฤติกรรม “ทำลายตัวเอง” ทางอ้อม เช่น ดื่มหนัก ขับรถเร็ว
- พูดคำประมาณ “เหนื่อยว่ะ เบื่อว่ะ ไม่ไหวแล้ว” แม้จะพูดเล่น ๆ
ที่สำคัญเลย ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่าเค้ามีอาการหรือภาวะเสี่ยงที่จะเป็นซึมเศร้า บางครั้งการถามว่า “เป็นยังไงบ้าง เราอยู่ตรงนี้นะ” มีพลังมากกว่าคำว่า “อย่าคิดมาก เดี๋ยวก็หายเอง” หลายเท่า
สุดท้ายความเข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าเราต้องอดทน ต้องไม่รู้สึกอะไร เศร้าไม่ได้ หรือห้ามอ่อนแอ ผู้ชายทุกคนเจ็บได้ อ่อนแอได้ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว เหนื่อยเกินไป ชีวิตไม่เหลือความสุขเหมือนก่อน คุณไม่ได้อยู่คนเดียว ภาวะเหล่านี้รักษาได้ และคุณสมควรได้รับการรักษา ลองติดต่อผู้เชี่ยวชาญ การต้องการคำปรึกษาไม่ได้น่าอาย แต่มันคือก้าวแรกที่เราจะสามารถดูแลใจตัวเองได้
“สุขภาพจิตสำคัญไม่แพ้สุขภาพกาย ถ้าใจเริ่มไม่ไหว…อย่ารอให้ถึงวันที่สายเกินไป”
source:
OurWorldinData



